สรุปเนื้อหา บทที่ 1852 ต้องการสร้างปัญหา – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1852 ต้องการสร้างปัญหา ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ความเป็นไปได้มีอยู่มากมาย และไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็มีความเป็นไปได้สูงทั้งนั้น
หนึ่งในนั้นมีการบอกว่าเซียวเฉวียนไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับเซียวเฉวียน
หากฮ่องเต้เป็นคนหูเบา และมีนิสัยเป็นคนขี้สงสัย เสนาบดีท่านนั้นคงบรรลุจุดประสงค์ของตัวเองไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ไม่ใช่คนอย่างนั้น เขาเชื่อในตัวเซียวเฉวียน และเชื่อว่าเขามองคนไม่ผิด
ดังนั้นการคำนวณของเสนาบดีท่านนี้จึงผิดพลาดไป
ส่วนเรื่องที่เซียวเฉวียนตั้งใจที่จะปล่อยนักปราชญ์ไป คำพูดนี้นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่า นั่นเท่ากับว่าเซียวเฉวียนร่วมมือกับนักปราชญ์ ปล่อยให้นักปราชญ์วางเพลิงและสังหารผู้คนอีกมากมาย
ตั้งแต่เหล่าขุนนางจนถึงเหล่าราษฎร พวกเขาต่างเกลียดคนเช่นนี้มากที่สุด
หากเสนาบดีเอาแต่กัดเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย จงใจทำให้เรื่องนี้วุ่นวาย เช่นนั้นมันก็อาจเกิดปัญหาขึ้นกับเซียวเฉวียนได้จริงๆ
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยก็สามารถทำให้ชื่อเสียงที่เซียวเฉวียนสร้างมาด้วยความยากลำบากพังทลายลงได้
พวกของหวังซวนมีความคิดเช่นนี้
เมื่อเสนาบดีท่านนี้เอ่ยปาก หวังซวนก็ก้าวออกไปทันที กล่าวออกมาด้วยท่าทางของผู้ชอบธรรม “ฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อสงสัยเต็มไปหมด”
ความหมายของคำพูดนี้ก็เหมือนกับที่เสนาบดีท่านนั้นกล่าวออกมา เซียวเฉวียนเก่งกาจถึงเพียงนี้ เขาเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง เป็นไปได้หรือที่จะไม่สามารถจับกุมนักปราชญ์ได้?
จับไม่ได้ไม่เท่าไหร่ แต่เซียวเฉวียนปล่อยให้อีกฝ่ายจุดไฟเผาหมู่บ้านที่อยู่ใต้จมูกของตนเองได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเกิดจากความประมาทของเซียวเฉวียน!
ไม่สนว่าเขาจะประมาทหรือมีเจตนาแอบแฝง ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเซียวเฉวียน
ดังนั้นหากฮ่องเต้ต้องการแก้ตัวให้เซียวเฉวียน เช่นนั้นก็ต้องผ่านพวกเขาไปก่อน
เมื่อคำพูดของหวังซวนเงียบลง ทันใดนั้นก็มีเสนาบดีอีกหลายท่านก้าวออกมาพูดด้วยน้ำเสียงของความโกรธ ประโยคที่ทุกคนพูดออกมาก็เป็นทำนองเดียวกัน
พวกเขากัดเซียวเฉวียนไม่ยอมปล่อย
ฮ่องเต้กวาดสายตามองคนเหล่านั้นอย่างเฉยเมย หลังจากนั้นก็โยนลูกแก้วให้กับจางจิ่น “ท่านอัครเสนาบดี ท่านมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
ความโดดเด่นของคำพูดนี้ก็คือ จางจิ่น ถึงเวลาที่เจ้าจะแสดงความสามารถออกมาแล้ว
จางจิ่นที่คอยดูความสนุกอยู่ในตอนแรก อยู่ดีๆ ก็ถูกเอ่ยนาม หัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา เขาอยากจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ฮ่องเต้อย่าทำเช่นนี้จะได้ไหม เหตุใดถึงชอบโยนลูกบอลเช่นนี้มาให้กับเขา?
จางจิ่นแอบชำเลืองมองฮ่องเต้ สบสายตากับฮ่องเต้พอดี เห็นรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาของฮ่องเต้ ราวกับกำลังบอกว่า ในฐานะอัครเสนาบดี ผู้อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือคนทั่วทั้งใต้หล้า เจ้าควรจะช่วยข้าแก้ไขปัญหานี้
จงสงบและแสดงความกล้าหาญของเจ้าออกมา!
หากไม่ไหวจริงๆ ก็ยังมีสมุหพระกลาโหมและผู้ตรวจการราชสำนักอยู่ไม่ใช่หรือ?
สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองไปที่ฉินหนานและจ้าวหลานโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
ไม่อย่างนั้นจางจิ่นคงคิดว่าฮ่องเต้เตรียมให้ฉินหนานและจ้าวหลานออกมาเพื่อต่อต้านความเห็นของเหล่าเสนาบดี แบบนั้นมันจะไม่ดูเป็นเรื่องเล่นไปหน่อยหรือ?
เป็นมือและแขนให้กับจางจิ่น!
หากยังไม่พอก็ยังมีเสนาบดียุติธรรมฉินเป่ยอยู่ไม่ใช่หรือ
พูด จางจิ่น เจ้าแค่พูดในสิ่งที่เจ้าคิดออกมาด้วยความกล้าหาญ!
ด้วยท่าทีเช่นนี้ของฮ่องเต้ จางจิ่นยังจะพูดอะไรได้อีกอย่างนั้นหรือ?
จางจิ่นกระแอมออกมา จากนั้นพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มอันทรงพลัง “ใต้เท้าหวัง คำพูดนี้อาจจะดูผิดไปเสียหน่อย!”
รู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนพูดแทนเซียวเฉวียน
หวังซวนหันมามองจางจิ่นด้วยสายตาอันเฉยเมย แม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เขารักษาความสงบเอาไว้ “เช่นนั้นจากความเห็นของท่านอัครเสนาบดี หรือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใต้เท้าเซียว?”
นี่เป็นหัวข้อคำถามที่ยากยิ่ง คำตอบมีเพียงใช่หรือไม่ใช่ แต่ทั้งสองคำตอบต่างส่งผลดีกับทางด้านของพวกหวังซวนทั้งสิ้น
จางจิ่นอยู่ในตำขุนนางเช่นนี้มาหลายปี เคยเป็นคนสนิทที่อยู่ข้างหายของเว่ยเชียนชิว หากไม่มีความสามารถก็คงไม่อาจขึ้นมาอยู่บนตำแหน่งอัครเสนาบดีเช่นนี้ได้
จางจิ่นกลอกตาไปมา จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “นักปราชญ์เป็นคนเช่นไร ข้าคิดว่าทุกท่านก็น่าจะรู้ดี”
อีกอย่าง เซียวเฉวียนเป็นถึงพ่อแม่ที่เกิดใหม่ของจางจิ่น ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ปรารถนาให้เขาตอบโต้ เขาก็จะช่วยพูดแทนเซียวเฉวียนอยู่ดี
อย่าคิดว่าจะมีใครสามารถใส่ร้ายเซียวเฉวียนต่อหน้าเขาได้!
ตอนนั้น พวกของหวังซวนไม่พอใจต่อจางจิ่นเป็นอย่างมาก เสนาบดีท่านหนึ่งตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรง “ท่านอัครเสนาบดี จากที่ท่านกล่าวมา ใต้เท้าเซียวเองก็เคยหลอกล่อเว่ยเจียนกั๋วจนหัวหมุน สำหรับเรื่องนี้ท่านจะว่าอย่างไร?”
หากเจ้าบอกว่าเซียวเฉวียนยังเด็ก แต่เขาสามารถหลอกล่อเว่ยเชียนชิวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเทียบกับนักปราชญ์แล้ว ใครเหนือกว่าใคร แน่นอนว่าผลของมันชัดเจนในตัวเอง
นักปราชญ์สามารถหลอกล่อเว่ยเชียนชิวได้ จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถ แต่นักปราชญ์เป็นคนที่มีอายุมาก ผ่านโลกมามากมาย อายุมากกว่าเว่ยเชียนชิวเสียด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับเซียวเฉวียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าสู้เซียวเฉวียนที่เกิดมาในภายหลังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!
เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ มันก็ทำให้จางจิ่นรู้สึกตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรตอบโต้กลับไปอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
และในตอนที่จางจิ่นกำลังใช้สมองเพื่อหาคำพูดมาหักล้าง คิดว่าจะตอบโต้กลับไปอย่างไร เสียงของจ้าวหลานก็ดังขึ้น “ใต้เท้าทุกท่าน ข้าน้อยขอพูดอะไรสักหนึ่งประโยค”
“เท่าที่ข้ารู้มา ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว”
“เวลานั้นใต้เท้าเซียวอยู่กับทาสคุนหลุน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใต้เท้าเซียวได้คิดวิธีในการปกป้องทาสคุนหลุนเอาไว้แล้ว”
“แต่หลังจากที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา ใต้เท้าเซียวเดินทางออกไปช่วยชาวบ้านดับไฟ ทิ้งดาบวิญญาณไว้คอยปกป้องทาสคุนหลุน แต่สุดท้ายดาบวิญญาณก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักปราชญ์”
พวกเจ้าลองคิดดู แม้แต่ดาบวิญญาณก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักปราชญ์
ในขณะเดียวกัน นักปราชญ์ยังทำการโจมตีจากทุกทิศทางเพื่อหลอกล่อเซียวเฉวียนออกไป
พูดเช่นนี้พวกเจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่านักปราชญ์เป็นคนเช่นไร?
เขาไม่ได้เป็นคนที่มีพลังอันแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่มีสติปัญญามากอีกด้วย
ในเวลานั้น เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งพร้อมกัน เซียวเฉวียนยุ่งเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ แค่ทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นน้อยมากที่สุด แค่นี้ก็ถือว่าเซียวเฉวียนทำได้ยอดเยี่ยมแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีแต่จะแย่ลงเท่านั้น
ไม่แน่ว่าเวลานี้เปลวไฟอาจจะยังคงลุกลามอยู่ก็เป็นได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...