ตอน บทที่ 1868 คนคุนหลุน จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 1868 คนคุนหลุน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เซียวเฉวียนต้องก้าวถอยหลังไป
แต่ความรวดเร็วของรอยแตกนี้มีระดับความเร็วเกือบจะเท่าความรวดเร็วของเซียวเฉวียน
ดูท่าทางแล้วตัวเองจะหลบไม่พ้น เซียวเฉวียนกระโดดขึ้น บินขึ้นไปบนอากาศ
เห็นเขาเปลี่ยนทิศทาง ย่าเหยียนก็รีบเปลี่ยนทิศทางตามไปด้วย เหวี่ยงไม้เท้าขึ้นไปบนอากาศ
เจี้ยนจงเห็นดังนั้น พลิกข้อมือเล็กน้อย เรียกพัดกลับคืนมา หลังจากนั้นบินพุ่งไปข้างหน้า เตรียมพร้อมจะจู่โจมต่อย่าเหยียน
แต่ย่าเหยียนเห็นแล้วว่าเจี้ยนจงตั้งใจจะทำอะไร นางหมุนไม้ค้ำยันในมือของนาง พุ่งตรงโจมตีออกไปที่เจี้ยนจง
เจี้ยนจงต้องก้าวถอยหลังไป
ย่าเหยียนที่มีสายตาและมือที่ว่องไว ใช้โอกาสช่องว่างนี้ ใช้ไม้ค้ำยันโจมตีเซียวเฉวียนต่อไป
ไม้ค้ำยันของนางสัมผัสไปไม่ถึงเซียวเฉวียน แต่กำลังที่แข็งแกร่งในไม้ค้ำยันของนางมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เป็นเหมือนดาบเล่มหนึ่งที่ไม่ต้องการพลังของคนในการใช้ พุ่งตรงรุนแรงแทงไปที่เซียวเฉวียน
รวดเร็วมาก ดาบจิงหุนของเซียวเฉวียนก็ไม่สามารถต้านทานได้
เซียวเฉวียนทำได้เพียงแค่หลบหลีก หลบหนีการโจมตีจากย่าเหยียน
ย่าเหยียนเป็นใครกันแน่ ทำไม่ถึงได้เก่งกาจอย่างนี้
นางมีกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ความคิดยังมีความว่องไวกว่านักปราชญ์อีก นางไม่อยากจะเป็นเจ้าสำนักใหญ่ใช่ไหม?
ทำไมถึงต้องให้นักปราญ์เป็นเจ้าสำนักใหญ่ ซึ่งตำแหน่งสูงกว่าค่อยกดนางให้อยู่ใต้อำนาจด้วย?
ทางด้านของเจี้ยนจงเห็นท่าทางไม่ค่อยดีนัก รีบส่งพลังออกมา นำพลังภายในส่งเข้าไปในพัด หลังจากนั้นใช้แรงสะบัด ให้เกิดลมพัดขึ้นมา
ใบไม้ปลิวไปตามทิศทางลมพุ่งไปทางฝั่งของย่าเหยียน
มีพลังแรงลมช่วยส่งเสริม ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็เหมือนกับอาวุธที่แหลมคม ทิ่มแทงไปที่ย่าเหยียน
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ย่าเหยียนต้องรีบดึงไม้เท้ากลับมาก่อน หลังจากนั้นก็มองไปที่ใบไม้และแรงลมที่มุ่งตรงเข้ามาที่นาง
เพื่อให้ได้ผลที่ดียิ่งกว่าเดิม เจี้ยนจงเขย่าพัดไม่หยุด
ลมพัดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้ย่าเหยียนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ใช้โอกาสตอนที่นางกำลังต้านทานลมพายุที่รุนแรง เซียวเฉวียนแกว่งดาบจิงหุนโจมตีไปที่นาง
ช่วยกันโจมตีทั้งสองด้าน ทำให้ย่าเหยียนไม่สามารถจะต้านทานต่อไปได้
จะไม่ต่อสู้ในสิ่งที่ไม่มีความแน่นอน
ย่าเหยียนรีบถอยร่นออกไป
เนื่องจากนางมีความว่องไวมาก และสามารถหลบหนีการโจมตีของเซียวเฉวียนและเจี้ยนจงไปได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ย่าเหยียนคิดว่านางคงไม่สามารถฆ่าเซียวเฉวียนได้ และอาจจะโดนทั้งสองคนทำร้ายจนบาดเจ็บได้
ดังนั้น ย่าเหยียนเตรียมหาโอกาสที่จะถอยหนี
เซียวเฉวียนดูออกว่านางต้องการจะทำอะไร เขารีบเรียกพู่กันเฉียนคุนออกมา
ยังไม่ทันที่เซียวเฉวียนจะเรียก พู่กันเฉียนคุนก็รู้ตัวเองออกมาและตามไป
ตลอดทาง พู่กันเฉียนคุนส่องแสงสีแดงประกายขาว มันวิ่งไปด้านหน้า เซียวเฉวียนและเจี้ยนจงตามอยู่ด้านหลัง
มีความตั้งใจจริงจังอย่างไรก็หนีไปไม่พ้น ย่าเหยียนเดินเลี้ยวโค้งไปมาเป็นเหมือนรูปตัวเอสหลบหนีออกไป
สุดท้ายก็สามารถหลบหนีจากพู่กันเฉียนคุนได้สำเร็จ
เดินจนนางเหนื่อยหายใจหอบ
นางหลบอยู่ในถ้ำที่มีแสงส่องสลัวๆ ค่อยๆผ่อนลมหายใจ และก็ดีใจที่ตัวนางยังไม่ได้บอกเซียวเฉวียน เรื่องของการนำเลือดบริสุทธิ์ของกองทัพเซียวออกมา
เป็นไปได้อย่างไรที่พู่กันเฉียนคุนปล่อยให้นางหลบหนีไปได้
ทำให้เซียวเฉวียนได้เรียนรู้มากขึ้นว่า
บนโลกนี้ มีคนที่รวดเร็วว่องไวกว่าเซียวเฉวียนกับเจี้ยนจงก็แล้วไป แต่กลับรวดเร็วว่องไวกว่าพู่กันเฉียนคุน!
ดูท่าทางแล้วย่าเหยียนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
ไม่ได้มีตำแหน่งธรรมดาเป็นแค่เจ้าสำนักของสำนักหมิงเซียนอย่างเดียวแน่นอน
ในเมื่อตามไม่ทันแล้ว เซียวเฉวียนจึงละทิ้งไม่ตามต่อไปแล้ว ทำเพียงแค่ให้พู่กันเฉียนคุนตามหาร่องรอยของย่าเหยียนต่อไป
เจี้ยนจงก็เช่นเดียวกัน
ถ้าจะดูตามหลักเหตุผลแล้ว ย่าเหยียนมีความเก่งกาจและว่องไวอย่างมาก และพู่กันเฉียนคุนกับเจี้ยนจงยังบอกว่ามีความรู้สึกคุ้นเคยอีกด้วย ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลที่พอจะเป็นไปได้
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ย่าเหยียนไม่เพียงแต่เป็นคนคุนหลุน และยังเป็นคนคุนหลุนที่อยู่มาหลายพันปีแล้ว
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในยุคของเทพเจ้า
ก็ไม่รู้ว่าทำไม นางถึงได้กลายเป็นเจ้าสำนักหมิงเซียนแห่งซินเจียงไปได้ และไม่ได้เป็นเจ้าสำนักที่ใหญ่ที่สุด แต่กลับปกปิดซ่อนพลังของตัวเองอยู่ที่ภูเขาหมิงเซียน
หลังจากที่ลำดับความคิดต่างๆแล้ว เซียวเฉวียนก็บอกความคิดนี้ให้เจี้ยนจงรู้
เจี้ยนจงมองเซียวเฉวียนอย่างไม่อยากเชื่อ และพูดว่า “เป็นไปได้ใช่ไหม?”
เรื่องของยุคเทพเจ้า เจี้ยนจงไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ในตำราก็มีจดบันทึกไว้น้อยมาก
แต่เจี้ยนจงรู้สึกว่า ถ้าย่าเหยียนเป็นเทพคุนหลุนในยุคของเทพเจ้า เจี้ยนจงก็ไม่น่าจะเคยเห็นย่าเหยียนมาก่อน
ยุคเทพเจ้าในตอนนั้น ก็มีความลึกลับยากที่จะเข้าใจได้
ถ้าจะบอกว่าพู่กันเฉียนคุนเคยเห็นมาก่อน ก็อาจจะเป็นไปได้ พวกเขาเป็นอาวุธวิเศษ ที่จริงแล้วก็เป็นอาวุธของเทพเจ้า
เซียวเฉวียนพูดเสริมว่า “หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า เจ้าเคยเห็นรูปวาดเหมือนของนาง หรืออาจจะบังเอิญเคยเห็นนางมาก่อนไหม?”
ในเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ก็อาจจะเป็นไปได้ ในเมื่อเป็นเรื่องเมื่อพันปีที่ผ่านมา พันปีที่ผ่านมา คนที่เจี้ยนจงเคยพบเจอมีมากมายนับไม่ถ้วน ได้เห็นรูปวาดเหมือนมากมายนับไม่ถ้วน
หรือว่าจะเป็นเพราะเคยหลับไหลมาก่อนเป็นพันปี สำหรับความทรงจําของผู้ที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีก่อนนั้นได้จางหายไป ก็อาจจะเป็นไปได้
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าย่าเหยียนเป็นเทพที่อยู่ในยุคเทพเจ้า ในเมื่อพู่กันเฉียนคุนเป็นอาวุธวิเศษ ก็น่าจะเคยเห็นนางมาก่อน ก็น่าจะจำได้อย่างแม่นย้ำถึงจะถูกสิ
พวกเขาไม่มีทางที่จะนึกไม่ออก
เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว เซียวเฉวียนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
ดังนั้น ชาติกำเนิดความเป็นมาของย่าเหยียนก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่?
แต่เซียวเฉวียนมีความรู้สึกที่ชัดเจนว่า ย่าเหยียนจะต้องเป็นคนคุนหลุนอย่างแน่นอน
ถ้าไม่ใช่คนคุนหลุน จะไปเอาความรวดเร็วว่องไวอย่างนี้มาจากไหน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...