สรุปตอน บทที่ 1869 ลูกศิษย์ขึ้นชื่อ – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1869 ลูกศิษย์ขึ้นชื่อ ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ในจุดนี้ เจี้ยนจงเองก็ได้มีท่าทีที่เหมือนกัน
ถ้าไม่ได้เป็นชาวคุนหลุนหล่ะก็ คงไม่มีทางเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้ได้แน่
ถึงแม้ว่าเซียวเฉวียนจะไม่ใช่ชาวคุนหลุน แต่เขาก็มีผนึกจูเสินที่มาจากเทือกเขาคุนหลุนอยู่บนร่างกาย นั่นก็นับเป็นชาวคุนหลุนแล้ว
เจี้ยนจงพูดมาขนาดนี้แล้ว เซียวเฉวียนก็เลยได้มั่นใจว่าย่าเหยียนต้องเป็นชาวคุนหลุน
มั่นใจได้ว่าเธอเป็นชาวคุนหลุน แต่เรื่องที่ว่าเธอเป็นชาวคุนหลุนยุคไหนและมีความแข็งแกร่งมากเพียงไหน เซียวเฉวียนและเจี้ยนจงเองก็ไม่รู้
นี่เป็นเรื่องที่แย่จริง ๆ
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ย่าเหยียนต้องการเอาชีวิตเซียวเฉวียนจริง ๆ
ให้ตายสิ !
แต่ในเมื่อเธอสนใจสำนักหมิงเซียนมากขนาดนั้น เธอก็ไม่ควรปล่อยให้นักปราชญ์ทำเรื่องร้าย ๆ ตั้งแต่แรก
เห็นได้ชัดว่าเธอมีความสามารถมากพอที่จะหยุดนักปราชญ์ แต่เธอกลับไม่ทำ มันบ้ามากจริง ๆ !
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ เรื่องคิดบัญชีอะไรก็ให้เซียวเฉวียนจัดการดีกว่า
มีใครคิดบัญชีกันแบบนี้บ้าง?
เซียวเฉวียนก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน?
คนโบราณไม่มีเหตุผลเลย แต่กลับพาลมากอีกต่างหาก!
แต่ว่า เซียวเฉวียนเองก็ไม่กลัวเธอหรอก!
ในเมื่อเธออยากได้ชีวิตของเซียวเฉวียนนักหล่ะก็ รีบ ๆ เข้ามาซะเถอะ!
ยังไงซะก็มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะเอาชีวิตเซียวเฉวียน เพิ่มเธอมาอีกคนก็ไม่เป็นไรหรอก!
เซียวเฉวียนทะลุมิติมาที่ต้าเว่ย เขาสามารถรอดพ้นจากเนื้อมือของปีศาจมาได้มากมาย ยังมีอะไรที่เขาต้องกลัวอีกงั้นหรือ?
พระเจ้าฆ่ากันเอง!
เพราะงั้น เซียวเฉวียนจะไม่ไปพัวพันกับย่าเหยียนอีก
อิงจากแผนเดิม เซียวเฉวียนจะอยู่ไกลทะเลมากไม่ได้
และเมื่อนักปราชญ์ได้ยินข่าวมาว่าเซียวเฉวียนได้ออกจากเกาะนกกระสาแล้ว เขาก็ได้ฉวยโอกาสหนีออกจากเกาะนกกระสา แต่เซียวเฉวียนกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย
ดังนั้น เซียวฉวนและเจี้ยนจงจึงได้กลับไปที่ป่าริมทะเลของรัฐมู่อวิ๋น
และทางทางหน้าผาที่สูงชันของเกาะนกกระสา เสวียนจิ้งก็ได้พบว่าแสงสีแดงขาวได้หายไปแล้ว เขาจึงได้รีบรายงานเรื่องนี้กับนักปราชญ์ทันที
นักปราชญ์ได้ยินดังนั้น ก็เบิกตากว้าง รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า เมื่อได้จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าแสงนั่นได้หายไปแล้วจริง ๆ
แต่นักปราชญ์ก็รู้สึกว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะออกไปข้างนอก
ในเมื่อพู่กันเฉียนคุนและเซียวเฉวียนมีความเร็วราวกับฟ้าผ่า ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวอีกที่ไหน เมื่อไหร่
สรุปแล้วก็คือ นักปราชญ์ไม่กล้าเสี่ยงที่จะออกไป รอให้สถานการณ์คงที่ก่อนค่อยออกไป
ทั้งสองก็ได้ติดตามสถานการณ์ฝั่งตรงข้ามทะเลอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด ทั้งสองก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ เลย
และเมื่อฟ้ายังไม่มืดสนิท นักปราชญ์ก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “เสวียนจิ้ง เจ้าลงไปเก็บปลามาสองตัวดีกว่า”
ลงทะเลอีกแล้วเหรอ?
เสวียนจิ้งก็รู้สึกเจ็บปวดใจมาก
ที่พื้นน้ำทะเลในเวลานี้ มีลมพัดมาเบา ๆ เมื่อคิดไปครู่หนึ่งเขาก็ได้ดำน้ำลงไป เสวียนจิ้งก็อดจะรู้สึกเย็นไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะกระตุ้นตัวเอง
ตอนนี้ได้ผ่านช่วงฤดูร้อนมาแล้ว ในไม่ช้าอากาศก็จะเย็นขึ้น ยิ่งอุณหภูมิในทะเลยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
แม้เสวียนจิ้งจะไม่อยากลงไป แต่สุดท้ายเขาก็ต้องลงไปอยู่ดี
ก็เหมือนในตอนกลางวัน เสวียนจิ้งจับปลาหลายตัวขึ้นฝั่งมาด้วยความรวดเร็ว
แต่ในหนึ่งครั้งเขาก็ไม่สามารถหยิบปลามาได้มากขนาดนั้น ก็ทำได้แค่ไปสองรอบเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินเนื้อไปหรือเปล่า คราวนี้เสวียนจิ้งก็สามารถบินนำปลากลับมาได้อย่างง่ายดาย
เขานำปลาทั้งหมดขึ้นมาเองคนเดียว
เห็นได้ชัดว่าความแข็งแรงของเขามีมากขึ้น
ครั้งนี้เขาทำได้ดีมาก นักปราชญ์เองก็พอใจเป็นอย่างมาก เพราะแบบนี้ นักปราชญ์จึงได้เริ่มช่วยเขาก่อไฟและยังได้ช่วยย่างปลาอีก
ขณะที่ทั้งสองพึ่งจะย่างปลาสุก จู่ ๆ นักปราชญ์ก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นักปราชญ์ก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ เขารีบพัดและดับไฟทันที
ผู้นำเหยียนที่เขาหมายถึงก็คือ ย่าเหยียน
ย่าเหยียนได้ยินเสียงนั้นก็ได้เดินออกมา ยืนอยู่ตรงหน้านักปราชญ์และพูดขึ้นว่า “ผู้นำ ข้ามั่นใจว่าเจ้าเก่งมาโดยตลอด”
นักปราชญ์ไม่ได้ตอบอะไรเธอ กลับกันยังได้ถามเธออีกว่า “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
รู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่?
ย่าเหยียนหัวเราะ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ช่างบังเอิญจิง ๆ ”
เธอแค่ซ่อนตัวจากพู่กันเฉียนคุน จนมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ไม่ระวังเผลอไม่สัมผัสโดนค่ายกลกระบี่ของนักปราชญ์เข้า
เมื่อเห็นเป็นค่ายกลกระบี่ ย่าเหยียนก็ไม่กล้าบุกรุกเข้ามา
เธอได้สังเกตด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าไม่มีใครออกมา จึงได้คิดว่าค่ายนี้เป็นของจำลอง ด้านในไม่มีคนอยู่ เธอก็คิดถึงรักนกกางเขนและอยากเข้ามาหลบซ่อนตัวชั่วคราว
แต่ครั้งที่สองนี้กลับไปสัมผัสโดนค่ายกลอย่างกะทันหัน เธอกลับได้ยินเสียงของนักปราชญ์
ดังนั้นเธอจึงได้เข้ามา
ในช่วงกลางวัน ทะลตรงข้ามพู่กันจินหลุนได้ส่องแสงแดงขาว มันกำลังต่อสู้กับย่าเหยียนอยู่งั้นหรือ?
ย่าเหยียนไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอได้แต่พยักหน้า สายตาของเธอไปตกอยู่ที่ปลาย่างบนถ่านไฟ
ได้กลิ่นหอมส่งออกมา
เธอได้ถามขึ้นว่า"ปลาตัวนี้กินได้หรือยัง?"
นักปราชญ์ก็พูดอย่างเย็นชา"ได้แล้ว"
ฟังจบ ย่าเหยียนก็หยิบปลาไปหนึ่งไม้และกัดไปอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากที่ได้กินไปคำหนึ่ง ย่าเหยียนก็เลื่อนสายตาไปมองที่เสวียนจิ้งแล้วถามนักปราชญ์ต่อว่า “เขาเป็นใคร?”
นักปราชญ์คนนี้ก็ไม่รู้จักวางตัวเลย ย่าเหยียนไม่ถามก็ไม่คิดจะแนะนำให้เธอรู้จักซักหน่อย
เสวียนจิ้งที่ได้ฟังทั้งสองพูดคุยกันมาตลอด ก็ได้กล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า “เสวียนจิ้งเคยเจอศิษย์พี่มาก่อน”
ตอนที่ทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน เสวียนจิ้งก็หาจังหวะแทรกได้ยาก เลยไม่ได้พูดอะไรมาก่อน
เคยได้ยินนักปราชญ์พูดถึง เจ้าสำนักหมิงเซียนอย่าง ย่าเหยียน เป็นลูกศิษย์ในนามของนักปราชญ์
ในเวลานั้น นักปราชญ์ได้เข้ามาเรียนรู้วิชาก่อน อาจารย์ของเขาจึงได้ให้นักปราชญ์เป็นแบบอย่างแก่คนในสำนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...