บทที่ 1873 เข้าใจและพูดแทงใจดำ – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย
ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1873 เข้าใจและพูดแทงใจดำ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เห็นเช่นนั้นเซียวเฉวียนก็กล่าวในเชิงเกลี้ยกล่อม “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิพวกเจ้า พวกเจ้าทำได้ดีมากแล้ว”
ก็แค่บอกให้พวกมันลดเสียงลงหน่อยเท่านั้น แต่กลับทำให้พวกมันรู้สึกไม่มีความสุข หัวใจของพวกมันค่อนข้างอ่อนแอ
ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเฉวียนนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิพวกมันจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของเซียวเฉวียน ดวงตาของสัตว์เทพทั้งสองเปล่งประกาย จ้องมองมาที่เซียวเฉวียน ราวกับกำลังพูดว่า เจ้าพูดจริงงั้นหรือ?
สิ่งที่ทำให้เซียวเฉวียนประหลาดใจก็คือ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความหมายของพวกมัน เขาพยักหน้า ตอบกลับไปว่า “พวกเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ”
“เพียงแต่การกลับมาอย่างเย่อหยิ่งและทรงพลังของพวกเจ้าเมื่อครู่ มันทำให้นกและสัตว์ป่าที่นี่หวาดกลัว”
ให้พวกเจ้าใช้ชีวิตให้ถ่อมตัวกว่านี้อีกเสียหน่อย นี่คือความหมายที่ข้าจะบอก
หัวใจของพวกเราจะต้องมีจริยธรรม ไม่ทำลายบรรยากาศตามใจชอบ และสร้างความลำบากหรือทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวไม่ได้
สัตว์เทพได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ บอกเซียวเฉวียนว่าพวกมันเข้าใจแล้ว หลังจากนี้จะระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
ได้ยินเสียงร้องตกใจของเสียงนกในป่า สัตว์เทพก็รู้ว่าเมื่อครู่พวกเขากลับมาด้วยท่าทีที่เอิกเกริกเกินไป ทำให้นกและสัตว์ป่าต่างๆ หวาดกลัว
เซียวเฉวียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่เป็นไร หลังจากนี้ระวังให้ดีก็พอแล้ว”
จากนั้นเซียวเฉวียนก็กล่าวออกมาว่า “ติดรูปภาพเสร็จ พวกเจ้าก็หมดเรื่องแล้ว พวกเจ้ากลับไปที่เมืองหลวงเสียเถิด”
สัตว์เทพกลับมามีสติปัญญาอีกครั้ง แต่อย่างไรมันก็เป็นแค่สัตว์ การรับรู้มีจำกัด และนิสัยของมันก็คาดเดาไม่ได้
เรื่องง่ายๆ อย่างเช่นติดรูปภาพ สามารถปล่อยให้พวกมันไปทำได้
นอกจากนั้น เซียวเฉวียนไม่กล้าที่จะปล่อยพวกมันให้เคลื่อนไหวตามลำพัง
โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าย่าเหยียนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เซียวเฉวียนก็ไม่กล้าปล่อยพวกมันไว้ตามใจชอบ
ประการแรก เซียวเฉวียนเกรงว่าสัตว์เทพจะถูกคนชั่วนำมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างปัญหาและหายนะ
ประการที่สอง เขากังวลว่าพวกมันจะถูกย่าเหยียนจับตามอง
พวกมันจะใช่คู่ต่อสู้ของย่าเหยียนหรือไม่ เรื่องนี้เซียวเฉวียนไม่แน่ใจ แต่เซียวเฉวียนรู้ว่าหากพวกมันถูกนางจับตามอง พวกมันจะต้องมีอันตรายเป็นแน่
สรุปก็คือ เซียวเฉวียนไม่อยากให้พวกมันไปเผชิญหน้ากับอันตรายตามลำพัง
ตอนแรกเซี่ยวเฟิงและกิเลนคิดว่าจะกลับมาอยู่ข้างกายของเซียวเฉวียนได้ แต่พวกมันคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะมาถึงก็ถูกไล่กลับไป ทำให้พวกมันรู้สึกไม่เต็มใจ
เซี่ยวเฟิงก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าว เข้ามาแนบชิดกับร่างกายของเซียวเฉวียน ความหมายของมันชัดเจน มันไม่อยากกลับเมืองหลวง มันต้องการอยู่ข้างกายของเซียวเฉวียน
กิเลนเองก็ใช้กรงเล็บของมันเกี่ยวเสื้อผ้าของเซียวเฉวียนไว้ บ่งบอกว่าพวกมันมีความชิดเช่นเดียวกับเซี่ยวเฟิง
เซียวเฉวียนกล่าวว่า “เชื่อฟัง กลับไปก่อน มีเรื่องอะไรข้าจะเรียกพวกเจ้ามาเอง”
มีสัตว์เทพอันเก่งกาจสองตัวอยู่ข้างกาย มันดูโดดเด่นและโอ้อวดเกินไป
แบบนี้ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะไปไหนหรือทำอะไร การเคลื่อนไหวของเขาก็จะโจ่งแจ้งเกินไป
ได้ยินเช่นนั้น สัตว์เทพทั้งสองก็ยังไม่อยากจากเซียวเฉวียนไป แต่สุดท้ายก็ต้องเชื่อฟัง เดินทางกลับไปยังเมืองหลวง
หลังจากไล่สัตว์เทพกลับไปแล้ว เซียวเฉวียนก็กล่าวออกมาด้วยความสงสัยว่า “บรรพชน เหตุใดท่านจึงรู้ได้ว่าเป็นพวกของเซี่ยวเฟิง”
ก่อนที่เจี้ยนจงจะพูดออกมา เซียวเฉวียนตัดสินได้จากปฏิกิริยาตอบสนองของนกเท่านั้น ไม่รู้ว่าผู้ที่มาเยือนคือสัตว์เทพ
เจี้ยนจงมองมาที่เซียวเฉวียนด้วยดวงตาที่เปล่งประกายและพูดว่า “ข้าเป็นใคร? ข้าเป็นถึงบรรพชนแห่งคุนหลุนเชียวนะ!”
เขาดำรงอยู่มามากกว่าพันปี คุ้นเคยกับคุนหลุนเป็นที่สุด มนุษย์หรือสัตว์ของคุนหลุนที่มีลมปราณอยู่บนร่างกาย ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป เจี้ยนจงสามารถสัมผัสถึงพวกมันทั้งหมดได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่สัตว์เทพทั้งสองเอิกเกริกมาก ทำให้เจี้ยนจงสัมผัสถึงลมปราณของพวกมันได้ตั้งแต่แรกแล้ว
เหตุผลก็เป็นเช่นนี้
แต่พูดไปพูดมา เหตุใดเมื่อวานเจี้ยนจงจึงไม่รู้สึกตัวว่าย่าเหยียนเข้ามาใกล้?
คิดไปคิดว่าเจี้ยนจงก็รู้สึกว่ามันจริง พวกเขามาจากสำนักและต้นกำเนิดเดียวกัน มีนิสัยคล้ายกัน เจี้ยนจงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ แน่นอนผนึกจูเสินเองก็ไม่มีทางทำเหมือนกัน
เจี้ยนจงจ้องมองมาที่เซียวเฉวียน “เหล่าเซียว การที่เจ้าทำเช่นนี้มันเลวร้ายมากเลยนะ เจ้ารู้หรือเปล่า?”
หากเจี้ยนจงไม่ใช่คนที่เข้าใจเซียวเฉวียน รู้ว่าเซียวเฉวียนแค่ต้องการหยอกล้อเท่านั้น หากคิดว่าคำพูดดังกล่าวมีอะไรแอบแฝงอยู่จริง มันอาจจะเกิดข้อสงสัยระหว่างความสัมพันธ์ของเขากับผนึกจูเสินได้
เซียวเฉวียนยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “ท่านกับผนึกจูเสินเป็นบรรพชนที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน ความสัมพันธ์ของพวกท่านแน่นแฟ้นราวกับทอง ข้าจะไปทำลายมันได้อย่างไร?”
“พวกท่านสองคนไม่ได้คุยกันมานานแล้ว ข้าก็แค่สร้างโอกาสให้พวกท่านได้พูดคุยกันสักเล็กน้อย”
เมื่อเทียบกับการให้เซียวเฉวียนพูดคุยกับเจี้ยนจงเกี่ยวกับเรื่องของย่าเหยียน ไม่สู้ปล่อยให้สองบรรพชนพูดคุยกันเองจะดีกว่า
พวกเขาคือคนข้างกายของเซียวเฉวียนที่คุ้นเคยกับคุนหลุนมากที่สุด!
การที่ให้พวกเขาได้พูดคุยกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดความก้าวหน้าขึ้นก็เป็นได้
ผนึกจูเสินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เรื่องที่ข้ารู้ เจี้ยนจงเองก็รู้ดี ข้ากับเขาไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องพูดคุยกัน”
เจ้าหนู หยุดใช้ผนึกศักดิ์สิทธิ์มาเป็นข้อแก้ตัวและปกป้องตัวเองได้แล้ว
เซียวเฉวียนยิ้มออกมาเล็กน้อย “บรรพชน แม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่ความรู้ของท่านทั้งสองนั้นกว้างไกล รู้อย่างชัดแจ้งเห็นจริง ไม่แน่หลังจากที่ได้คุยกันแล้ว มันอาจจะเกิดผลลัพธ์บางอย่างขึ้นก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?”
เห็นท่าทางของเซียวเฉวียน เจี้ยนจงก็เชื่อในคำพูดของผนึกจูเสินมากขึ้น พ่นลมหายใจและกล่าวออกมาว่า “เหล่าเซียว เจ้านี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงขั้นกล้ามาล้อเล่นกับข้า”
ใช่ เซียวเฉวียนจงใจที่จะหยอกล้อเจี้ยนจง
เขาทำสิ่งนี้เพื่อหันเหความสนใจและทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้มีอีกหนึ่งคนที่สามารถยืนหยัดอยู่หน้าเขาและเจี้ยนจงปรากฏตัวออกมา นั่นก็คือย่าเหยียน หากบอกว่าเซียวเฉวียนและเจี้ยนจงไม่กังวลก็คงเป็นเรื่องโกหก
กังวลก็คือกังวล แต่สิ่งที่พวกเขากังวลไม่ใช่การที่ย่าเหยียนจะมาสร้างปัญหาให้กับพวกเขา แต่กังวลว่าย่าเหยียนจะออกไปสร้างปัญหาและก่อเรื่องให้กับประชาชน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...