สรุปเนื้อหา บทที่ 1874 ซ่อนตัวในรัฐชิงโจว – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1874 ซ่อนตัวในรัฐชิงโจว ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนนี้ยังหาร่องรอยของนักปราชญ์และลูกศิษย์ไม่พบ กองกำลังชาวยุทธ์แท้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน และมีย่าเหยียนที่แสนทรงพลังปรากฏตัวออกมาอีก
หากย่าเหยียนได้พบกับนักปราชญ์ ทั้งสองคนร่วมมือกัน ประกอบกับกองกำลังชาวยุทธ์แท้ในมือของพวกเขา ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะสร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนขึ้นมา
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการตามหาที่อยู่ของนักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขาให้เร็วที่สุด รวมถึงตามหากองกำลังชาวยุทธ์แท้
หากปราศจากซึ่งกองทัพ นักปราชญ์และย่าเหยียนก็เหมือนกับเสือที่ไร้เขี้ยว ไม่มีความน่าหวาดกลัว
อย่างน้อยก็ไม่อาจสร้างปัญหาใดๆ ขึ้นมาได้
ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงรอข่าวจากพู่กันเฉียนคุน
เวลาแห่งการรอคอยมันจะทรมานเล็กน้อย ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงใช้โอกาสนี้ในการหยอกล้อกับเจี้ยนจง เซียวเฉวียนไม่ได้คิดที่จะทำให้เจี้ยนจงขายหน้าจริงๆ
แน่นอนว่าเจี้ยนจงเข้าใจความคิดของเซียวเฉวียน ที่เขาพูดมากขนาดนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเขาต้องการเล่นกับเซียวเฉวียนด้วย
เจี้ยนจงดำรงอยู่มานานกว่าพันปี เขาเห็นยอดฝีมือมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดที่จะประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของย่าเหยียนไม่ได้
ในมุมมองของเขา ทุกวันนี้ ในโลกมีเพียงแค่เขาและเซียวเฉวียนเท่านั้นที่รวดเร็วที่สุด และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็คงไม่มีใครอาจเทียบเทียม
แต่เมื่อย่าเหยียนปรากฏตัวออกมา นางได้ใช้ความแข็งแกร่งของนางในการบอกกับเซียวเฉวียนและเจี้ยนจงให้ได้รับรู้ว่า ความเร็วและความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าพวกเขา
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แถมยังเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เจี้ยนจงจึงยากที่จะทำใจยอมรับมัน
เขาไม่เข้าใจ เหล่าทวยเทพได้ล่มสลายไปแล้ว เหตุใดหลังจากที่ผ่านมาแล้วกว่าพันปีถึงยังมีคนที่มีพลังทัดเทียมกับเหล่าทวยเทพหลงเหลืออยู่?
เกิดอะไรขึ้นกับย่าเหยียนผู้นี้กันแน่?
แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่เจี้ยนจงก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตลอด
แม้เขาจะเป็นเช่นนี้ แต่มนุษย์ที่อยู่ข้างกายของเขาอย่างเซียวเฉวียนนั้นไม่เข้าใจอะไรกับอดีตที่ผ่านมาของคุนหลุนเลย ความสงสัยในใจของเซียวเฉวียนจะต้องมากกว่าเขา ไม่มีทางน้อยกว่าเป็นแน่
ดังนั้นเจี้ยนจงจึงเข้าใจความรู้สึกของเซียวเฉวียนเป็นอย่างมาก
ในเวลานี้ เซียวเฉวียนกล่าวออกมาว่า “บรรพชน ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น”
เจี้ยนจงตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ”
เพียงคำพูดที่ว่า “ข้าเข้าใจ” มันได้สื่อความหมายเป็นหมื่นคำ
เนื่องจากเขาเจี้ยนจงได้ยอมรับเซียวเฉวียนในฐานะเจ้านายไปแล้ว และเลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับเซียวเฉวียน เขาก็ต้องเข้าใจและวางใจในตัวของเซียวเฉวียน
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากรัฐชิงโจว
หมูบ้านนี้มีชื่อว่าซานจวง
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างไกลเป็นอย่างมาก บ้านแต่ละหลังตั้งอยู่กระจัดกระจาย ครอบครัวแต่ละครอบครัวกินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของภูเขา
พูดง่ายๆ ก็คือ บ้านแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นมาตามภูมิประเทศบนภูเขา
เนื่องจากที่นี่ไม่มีพื้นที่ราบ และมีภูเขาอยู่เป็นจำนวนมาก
บ้านแต่ละหลังมีระยะห่างกันค่อนข้างมาก ประกอบกับชาวบ้านที่นี่ยุ่งอยู่กับการหาเลี้ยงชีพในช่วงกลางวัน พวกเขาจึงไม่ค่อยไปมาหาสู่หรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเท่าไหร่นัก
ไม่เหมือนกับหมู่บ้านอื่นๆ ที่ชาวบ้านจะมารวมกลุ่มกันเพื่อทำงาน ขณะทำงานก็สามารถพูดคุยหรือนินทาผู้คนได้ตามต้องการ
สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เหมาะกับพวกของย่าเหยียนที่ต้องการอยู่อย่างสันโดษเป็นอย่างมาก
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ย่าเหยียนพานักปราชญ์และลูกศิษย์ของเขามาอยู่ที่นี่ และอยู่ตรงกลางของภูเขา ครอบครัวของพวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ที่นั่น
และครอบครัวนี้ไม่ก็ใช่ใครอื่น พวกเขาอยู่ใต้จมูกของเซียวเฉวียนตลอดเวลา นั่นก็คือพี่น้องเว่ยหง
หลังจากพี่น้องเว่ยหงหนีออกมา ผ่านพ้นความตายมาได้ พวกเขาก็เดินทางมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัว
หลังจากหนีมาถึงที่นี่แล้ว ทั้งสองคนพบบ้านที่ตนเองชอบ แถมไม่มีใครรู้จักมัน พวกเขาจึงเลือกอาศัยอยู่ที่นี่
เพื่อให้มั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย พี่น้องเว่ยหงจึงสังหารทุกคนที่เคยอยู่ที่นี่
มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถปกปิดความลับได้ตลอดไป
แต่สิ่งที่ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ในตอนที่พวกเขาไปล่าสัตว์บนภูเขา พวกเขากลับได้พบกับย่าเหยียนโดยบังเอิญ
ที่แท้ เนื่องจากการล่มสลายของซินเจียง ในที่สุดย่าเหยียนก็หนีออกมาจากคุกได้สำเร็จ
ภูเขาหมิงเซียนและสำนักหมิงเซียนไม่เหลืออยู่แล้ว ซินเจียงเองก็กลายเป็นอาณาเขตของต้าเว่ย ย่าเหยียนจึงเดินทางมายังรัฐชิงโจวเพื่อพึ่งพิงเว่ยหง
และทั้งสองคนก็ยังอยู่กับย่าเหยียน ดูเหมือนว่าทั้งสองน่าจะรู้จักกับย่าเหยียนตั้งแต่แรกแล้ว
เว่ยหงนึกว่านักปราชญ์ถามเขา เขาจึงตอบกลับไปว่า “นักปราชญ์ ที่นี่คือดินแดนแห่งรัฐชิงโจว”
นักปราชญ์พยักหน้าด้วยความครุ่นคิด
เขาฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน เสวียนจิ้งเองก็ลืมตาขึ้นมา สมแล้วที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์ ปฏิกิริยาหลังจากที่พวกเขาทั้งสองฟื้นขึ้นมานั้นเหมือนกันทุกประการ ก่อนอื่นก็มองไปรอบๆ จากนั้นก็ถามออกมาว่าที่นี่คือที่ไหน
แต่ในตอนที่เสวียนจิ้งได้เห็นพี่น้องเว่ยหง เขารู้สึกว่าสองคนนี้คุ้นตาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเสวียนจิ้งจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “ใต้เท้าทั้งสอง พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่?”
หากไม่เคยเจอ เหตุใดถึงได้ดูคุ้นตาถึงเพียงนี้?
สองพี่น้องเว่ยหงเหลือบตามองเสวียนจิ้งพร้อมกล่าวว่า “ไม่เคย”
พวกเขากล้ารับประกันว่าพวกเขาไม่เคยเจอกับเสวียนจิ้งมาก่อน
แต่มันกลับทำให้เสวียนจิ้งรู้สึกสงสัย เขากล่าวออกมาอีกว่า “เช่นนั้นข้าน้อยขอถามว่าใต้เท้าทั้งสองมีนามว่าอะไร?”
บนร่างกายของทั้งสองคนมีรัศมีอันสง่างามปรากฏอยู่ เนื่องจากคุ้นเคยกับนักปราชญ์และย่าเหยียน เสวียนจิ้งจึงรู้ได้ว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สองพี่น้องเว่ยหงก็อดคิดไม่ได้ว่าควรจะแนะนำตัวเองกับเสวียนจิ้งอย่างไร
จะบอกว่าตนเองคือเจ้าครองนครมันก็คงไม่เหมาะสม
คิดไปคิดมา เว่ยหงก็กล่าวออกไปว่า “น้องชาย ข้ามีนามว่าเว่ยหง ส่วนน้องชายของข้ามีนามว่าเว่ยหยาน”
ต่อหน้าคนของตัวเอง เว่ยหงไม่เปลี่ยนชื่อและแซ่ของเขา
เมื่อได้ยินว่าเป็นคนแซ่เว่ย ดวงตาของเสวียนจิ้งก็เปล่งประกายอย่างช่วยไม่ได้ “ใต้เท้าทั้งสองคือเจ้าครองนครแห่งรัฐชิงโจวและรัฐหวู่โจวใช่หรือไม่?”
เว่ยหงพยักหน้า จากนั้นก็แก้ไขคำพูดของเขา “แค่เคยเป็นเท่านั้น”
ได้ยินเช่นนั้น ท่าทางของเสวียนจิ้งก็ดูดีใจมาก “ข้าน้อยมีนามว่าเสวียนจิ้ง”
เขากับสองพี่น้องเว่ยหงมีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นเสวียนจิ้งจึงเล่าอดีตของตนเองออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...