สรุปเนื้อหา บทที่ 1887 สืบหาข้อมูล – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1887 สืบหาข้อมูล ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เมื่อได้ยินคำถามว่าเซียวเฉวียนเป็นคนที่ไหน เซียวเฉวียนก็ตอบกลับไปว่า “ข้าเป็นคนของเมืองหลวง”
คนจากเมืองหลวง?
มีนามว่าเซียวเฉวียน?
ชายผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขาทันที ดวงตาคู่นั้นของเขาเป็นประกาย “ท่านคือท่านราชครู ใต้เท้าเซียวอย่างนั้นหรือ?”
เซียวเฉวียนพยักหน้าตอบรับ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้
ในสมัยโบราณที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่เซียวเฉวียนกลับเป็นที่รู้จักในนามของราชครูในดินแดนอันห่างไกลเช่นนี้
พูดตามตรง เซียวเฉวียนเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ชายผู้นั้นได้สติกลับคืนมา เขาเดินกลับมาในทันที ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จู่ๆ เขาก็พูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น “ใต้เท้าเซียวเดินทางมาไกล ไปพักที่บ้านของข้าหน่อยหรือไม่”
เซียวเฉวียนคือคนที่มีชื่อเสียงแห่งต้าเว่ย เขาไม่สามารถละเลยได้
แม้ว่าในบ้านของชายผู้นี้จะไม่มีสิ่งของอะไรมอบให้เซียวเฉวียน แต่การที่จะให้เซียวเฉวียนเข้าไปพักในบ้านก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น
แค่ดื่มชาก็ถือเป็นการแสดงน้ำใจเล็กน้อย
เซียวเฉวียนกล่าวออกมาว่า “งั้นก็ต้องขอรบกวนพี่ชายแล้ว”
บ้าไปแล้ว ราชครูผู้สง่างามเรียกชาวบ้านธรรมดาอย่างเขาว่าพี่ชาย นี่มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออะไรเช่นนี้
ชายผู้นั้นรีบตอบกลับมาว่า “ใต้เท้าเซียว ข้าน้อยมีนามว่าสวีย่า ท่านเรียกชื่อของข้าเถิด”
คำเรียกว่าพี่ชาย สวีย่ารับไว้ไม่ได้จริงๆ
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่เขาก็รู้ว่าครูเปรียบเสมือนพ่อ
และเซียวเฉวียนเป็นถึงราชครู สถานะของเขาสูงส่ง เป็นที่เคารพของฮ่องเต้ คำเรียกว่าพี่ชายนี้ มันทำให้สวีย่ารู้สึกหวาดกลัวต่อมัน!
เซียวเฉวียนกล่าวออกมาว่า “พี่ชายพูดเกินไปแล้ว”
ตามตรรกะของสวีย่า เซียวเฉวียนเรียกทาสคุนหลุนอย่างหนานเหอและมานจงเฮ่อว่าลุง พวกเขายังน้อมรับไว้ แบบนั้นไม่เท่ากับว่าหนานเหอและมานจงเฮ่อเอาเปรียบฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ แบบนี้เท่ากับว่าเอาตัวขอตนเองไปโขกกำแพงไม่ใช่หรือไง?
แน่นอน เซียวเฉวียนเองก็ใช้คำว่า “อาจารย์ เปรียบเสมือนบิดา” ประโยคนี้มาไม่น้อย แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะเลือกใช้กับคนหัวโบราณที่คิดจะท้าทายตัวเอง
ปกติแล้วเซียวเฉวียนไม่ใช้ตัวตนของเขาในการเหยียบย่ำผู้อื่น
ดังนั้นสิ่งที่เซียวเฉวียนเรียกออกมานั้นมาจากความจริงใจ
ตั้งแต่เด็ก เซียวเฉวียนถูกพ่อแม่และคุณครูสอนไว้ว่าต้องมีมารยาทต่อผู้ที่อาวุโสสูงกว่า
เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านผู้นี้มีอายุมากกว่าเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนควรจะเรียกเขาว่าพี่ชาย นี่ถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง
เซียวเฉวียนคิดเช่นนี้ แต่ชาวบ้านกลับไม่คิดเช่นนี้ เขายังคงพูดออกมาอย่างแน่วแน่ “ใต้เท้าเซียวอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย”
ความหมายของมันก็คือ ท่านได้โปรดเรียกชื่อของข้าด้วยเถิด
ไม่อย่างนั้นสวีย่าไม่มีทางสงบจิตสงบใจได้เป็นแน่
เซียวเฉวียนอดคิดไม่ใจไม่ได้ หมู่บ้านที่ห่างไกลและยากจนเช่นนี้ รอบๆ ไม่มีโรงเตี๊ยมหรือคอกพักม้าอยู่เลย ตามเหตุผลแล้ว ชาวบ้านที่นี่ไม่ควรจะพิถีพิถันเช่นนี้ถึงจะถูก
แต่เหตุใดสวีย่าจึงแน่วแน่ที่จะให้เซียวเฉวียนเรียกชื่อของเขา
ช่างพิถีพิถันยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าเขาหนักแน่นถึงเพียงนี้ เซียวเฉวียนก็ทำตามความปรารถนาของเขา เรียกเขาว่าสวีย่า
สวีย่าเดินอยู่ด้านหน้า เซียวเฉวียนกล่าวออกมาว่า “สวีย่า เมื่อครู่ท่านเจ้าคิดจะทำสิ่งใดงั้นหรือ?”
จะบอกว่าเขาไปทำงานก็คงไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้เอาอะไรติดมือมาเลย
บอกว่าไปเยี่ยมหรือไปหาเพื่อน ทิศทางที่เขาเดินไปก็คือทิศทางที่เซียวเฉวียนเดินมา เซียวเฉวียนรู้ว่าจากทิศทางที่เขาผ่านมา กว่าจะพบเจอหมู่บ้านอีกสักหมู่บ้านหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งวันกว่าจะไปถึง
เช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยสวีย่าก็ต้องพกน้ำกับอาหารไปด้วย
แต่ในมือทั้งสองข้างของเขากลับว่างเปล่า
สวีย่าเกาศีรษะด้วยความสงสัยและพูดออกมาว่า “ข้าจะไปเก็บแห”
ด้านหน้าก็มีทางแยกอยู่ไม่ใช่หรือไง?
เดินไปทางนั้นอีกประมาณ 1000 เมตรก็จะมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง
แม่น้ำสายนั้น ในตอนที่เซียวเฉวียนมาก็ยังเห็นมันอยู่เลย
สวีย่าบอกว่า ปกติแล้วเขาก็ทำแบบนี้ ในตอนเย็นเขาจะไปวางแหไว้ที่แม่น้ำ พอเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ไปเก็บแหกลับมา
แบบนั้นการที่เขาพบเซียวเฉวียนกลับมายังบ้านของเขา จะเป็นการทำให้เขาเสียเวลาหรือไม่?
สวีย่ายิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า “ไม่เป็นไร ไว้ค่อยไปเก็บก็ได้”
ความหมายของมันก็คือ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้
เซียวเฉวียนพูดออกมาเช่นนั้น สวีย่าก็นึกขึ้นได้ทันที
ครึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาเคยเดินทางออกจากหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อไปซื้อของ เนื่องจากระยะทางอันแสนยาวไกล การเดินทางอันแสนเหน็ดเหนื่อย เขาจึงพักอาศัยอยู่ในบ้านของคนใจดีผู้หนึ่ง จากนั้นถึงจะออกเดินทางอีกครั้ง
ในตอนที่เขาพักอยู่ในบ้านของคนผู้นั้น เจ้าของบอกพูดกับเขา เล่าเรื่องให้เขาฟังมากมาย รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเซียวเฉวียนด้วย
สวีย่าได้ยินเรื่องของเซียวเฉวียนจากที่แห่งนั้น รวมถึงชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์ของเซียวเฉวียนด้วย
มันเป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งของสวีย่า เซียวเฉวียนได้เป็นราชครูตั้งแต่อายุยังน้อย และเขาก็ยังเป็นประมุขแห่งชิงหยวน
ตอนที่ข่าวลือแผ่กระจายออกไป ชื่อเสียงของเซียวเฉวียนติดลบเป็นอย่างมาก
ต่างบอกว่า เซียวเฉวียนมีพรสวรรค์และความสามารถสูงส่ง เขาเอาแต่สนใจความสามารถของตนเอง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา จองหองและเย่อหยิ่ง แม้แต่ฮ่องเต้เขาก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา
แต่เมื่อสวีย่าได้มาพบกับเซียวเฉวียน เขารู้สึกว่าตัวตนที่แท้จริงของเซียวเฉวียนนั้นตรงข้ามกับข่าวลือที่เขาได้ยินมา
เห็นได้ชัดว่าเซียวเฉวียนเป็นคนดีมาก!
ช่างเลวร้ายยิ่งนัก ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจงใจใส่ร้ายป้ายสีเซียวเฉวียน!
เงียบไปครู่หนึ่ง สวีย่ากล่าวออกมาว่า “สวีย่า เจ้ารู้จักชาวบ้านที่นี่ทุกคนหรือไม่?”
สวีย่าตอบ “รู้จัก แต่ไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่”
บ้านของทุกคนอยู่ไกลกัน และทุกคนก็ยุ่งอยู่กับการทำงาน เซียวเฉวียนเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาจึงถามออกมาอีกว่า “เช่นนั้นที่นี่มีทั้งหมดกี่ครอบครัว?”
สวีย่าอธิบายสถานการณ์ต่างๆ ให้เซียวเฉวียนฟังโดยละเอียด
ปรากฏว่า นอกเหนือจากสวีย่าแล้ว ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เพียงแค่ห้าครอบครัวเท่านั้น
และแต่ละครอบครัวก็มีคนน้อยมา สวีย่าจึงเล่าให้เซียวเฉวียนฟังได้อย่างละเอียด
“เช่นนั้นช่วงนี้มีใครออกไปซื้อของด้านนอกบ้างหรือไม่?” เซียวเฉวียนถามออกไป
สวีย่าตอบอย่างไม่คิด “ไม่มี ทุกคนอยู่ในหมู่บ้าน”
หมู่บ้านแห่งนี้มีคนอาศัยอยู่ไม่มา และก็อยู่ห่างไกลจากตลาด หากมีคนจะออกไป พวกเขาจะติดต่อกันและถามคนอื่นว่าต้องการอะไรหรือไม่ ต้องการให้ช่วยซื้ออะไรกลับมาหรือเปล่า
เหมือนกับที่ตอนสวีย่าออกไปเมื่อครึ่งปีที่แล้ว เขาช่วยเอาของมาให้ชาวบ้านมากมาย และมันเพียงพอสำหรับการใช้งานในระยะเวลาหนึ่งปี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...