สรุปตอน บทที่ 1888 การเติบโตของเสวียนอวี๋ – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1888 การเติบโตของเสวียนอวี๋ ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
สรุปก็คือ ตามข้อตกลงของที่แห่งนี้ หากมีใครเดินทางออกไปข้างนอก พวกเขาจะต้องแจ้งให้ทุกคนในหมู่บ้านได้รับรู้ และยินดีที่จะช่วยขนของกลับมาให้พวกเขา
ตั้งแต่ที่สวีย่าออกไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเคยออกไปอีกเลย
สถานการณ์ที่ควรเข้าใจ ตอนนี้เซียวเฉวียนได้ทำความเข้าใจกับมันทั้งหมดแล้ว
ในเวลานี้ น้ำที่สวีย่าต้มเอาไว้ก็เดือดแล้ว ไอน้ำพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างรุนแรง
สวีย่ารีบเดินเข้าไปเพื่อชงชาให้กับเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋
ช่วยไม่ได้ เนื่องจากสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นถิ่นทุรกันดาร ไม่มีใครเดินทางผ่านไปผ่านมาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาจึงไม่มีอุปกรณ์สำหรับชงชา
ดังนั้นปกติจึงใช้ถ้วยในการดื่มชา
สวีย่ายิ้มออกมา “ใต้เท้าเซียว คุณชายเสวียนอวี๋ ทำให้พวกท่านต้องเจอกับเรื่องน่าขันอีกแล้ว”
เขาสุภาพจนเซียวเฉวียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ แต่เซียวเฉวียนก็ยังพูดออกมาอย่างเป็นมิตรว่า “ไม่เลย ไม่เลย ปกติชวนเซียวของข้าก็เป็นเช่นนี้”
คำพูดนี้เป็นความจริง ในจวนเซียวนั้นเต็มไปด้วยผู้ชายหยาบกร้าน พวกเขาคุ้นเคยกับการฝึกวรยุทธ์ มีนิสัยชอบกินเนื้อเป็นอาหารหลัก ดื่มชาและน้ำจากถ้วยใบใหญ่
ทุกคนต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง ขอแค่ตนเองรู้สึกสบายใจ ทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว
ได้ยินเช่นนั้นความประทับใจที่สวีย่ามีต่อเซียวเฉวียนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ชายผู้เป็นราชครูอันยิ่งใหญ่โดยไม่ผ่านการรับเลือกแต่อย่างใด คำพูดของเขาทำให้ผู้คนซาบซึ้งได้ถึงเพียงนี้เลยงั้นหรือ
ชายผู้นี้เริ่มวิตกกังวลมากขึ้น เซียวเฉวียนมาที่นี่กว่าครึ่งวันแล้ว แต่สวีย่าเพิ่งจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เขาไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ทานอาหารเช้ามาแล้วหรือยัง
เซียวเฉวียนกล่าวออกไปตามจริง “ยังไม่ได้ทาน”
แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หิว
เมื่อเห็นว่าสวีย่ากำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับพวกเขา เซียวเฉวียนก็เอ่ยปากออกมาว่า “ไม่ต้องลำบาก พวกข้าไม่หิว อีกเดี๋ยวพวกข้าก็จะไปแล้ว”
ชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่นั้นยากลำบากอยู่แล้ว เซียวเฉวียนจะกินอาหารของสวีย่าเพื่อสร้างความลำบากให้กับเขาเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
เซียวเฉวียนกับเสวียนอวี๋กินอาหารมื้อนี้เข้าไป อย่างน้อยมันก็เป็นอาหารที่สวีย่าสามารถเก็บไว้กินได้มากกว่าสองมื้อ
พวกเขาสามารถแก้ปัญหาเรื่องกินด้วยตัวเองได้ อีกอย่างที่พวกเขามาที่นี่ ทั้งหมดก็เพื่อมาตามหาพวกของนักปราชญ์
พูดจบเซียวเฉวียนก็ไม่สนใจความพยายามของสวีย่า เขาพาเสวียนอวี๋เดินออกจากบ้านของสวีย่าโดยตรง
ตามคำแนะนำของสวีย่า เซียวเฉวียนเดินไปยังพื้นที่ซึ่งมีคนอาศัยอยู่ก่อนเป็นอันดับแรก
จากใกล้ไปไกล
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูบ้านหลังแรก
แม้ว่าท้องฟ้าจะสว่างแล้ว แต่มันก็ถือเป็นเวลาเช้าอยู่ ชาวบ้านยังคงยุ่งอยู่กับงานในบ้านของตัวเอง
เมื่อสองคนปรากฏตัวออกมา ชาวบ้านก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ พวกเขาจึงเริ่มถามออกมาตามความคิดของพวกเขา “เช้าตรู่ถึงเพียงนี้ คนแปลกหน้าสองคนนี้มาเพื่อเหตุผลใด?”
แววตาของชาวบ้านจับจ้องมาที่เซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ จากรัศมีที่แผ่ออกมาจากบนร่างกายของพวกเขา ความหวาดกลัวก็เผยออกมาจากแววตาของชาวบ้าน
น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “พวกเจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเขาพูดออกมา คำพูดดังกล่าวก็ดึงดูดทุกคนที่อยู่ในบ้านออกมา ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านกำลังพูดกับใคร?”
ด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นยังมีคนตามมาอีกสามคน ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นลูกของพวกเขา
กำลังพูดกับใคร? ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของข้านั้นเป็นใคร
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบคำถามของหญิงผู้นั้น
ท่านผู้เฒ่าที่หญิงผู้นั้นเอ่ยถึง ที่จริงเขาไม่ได้แก่แต่อย่างใด อายุของเขาประมาณ 35 เท่านั้น
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เหตุใดถึงไม่ยอมพูด?”
ขณะที่พูดออกมา นางได้เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว
เมื่อมองเห็นแวบแรก โอ้แม่เจ้า เหลือเชื่อจริงๆ สองคนนี้เป็นใคร?
ผู้หญิงคนนั้นเองก็ตกตะลึงกับรัศมีบนร่างกายของเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋เช่นเดียวกัน ร่างกายของนางสั่นเทา พูดออกมาด้วยเสียงสั่น “ท่านวีรบุรุษท่านสอง พวกข้าเป็นคนยากจน ได้โปรดปล่อยพวกข้าไปด้วยเถิด”
พูดจบผู้หญิงคนนั้นก็คุกเข่าลงพื้น มองมาที่เซียวเฉวียนเพื่อขอความเมตตา “ท่านวีรบุรุษได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย”
ไม่ทันรอให้เซียวเฉวียนเอ่ยปาก ผู้หญิงคนนั้นก็พูดออกมาอีกว่า “พวกเจ้ายังจะยืนอยู่ทำไม ยังไม่รีบคุกเข่าลงมาอีกงั้นหรือ”
ในเมื่อเซียวเฉวียนพูดออกมาเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา นางเพียงแค่แสดงรอยยิ้มและปล่อยให้เซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋เดินทางจากไป
และเซียวเฉวียนก็รู้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ที่นี่มีอัธยาศัยดี หากเขากับเสวียนอวี๋เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว พวกเขาคงไม่อาจออกมาได้ภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป
หากเซียวเฉวียนไม่มีเรื่องต้องทำ ไม่ได้รีบร้อนที่จะตามหาผู้ใด เขาคงใช้เวลาอยู่กับบ้านหลังนี้สักพักหนึ่ง
ดังคำกล่าวที่ว่า เวลาอันมีค่าที่สุดของวันคือช่วงเช้า
เวลาในช่วงเช้านั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด
ดังนั้นหลังจากพูดจบ เซียวเฉวียนจึงพาเสวียนอวี๋เดินออกไป
ระหว่างทาง เสวียนอวี๋เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านอาเซียว พวกเราควรทิ้งเถามันเทศไว้ให้กับพวกเขาหรือไม่ ให้พวกเขาได้ลิ้มรสและเพลิดเพลินกับประโยชน์ที่ได้จากเถามันเทศ?”
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เสวียนอวี๋ไม่เห็นที่ดินจำพวกที่นาในสถานที่แห่งนี้เลย
คิดว่าชาวบ้านที่อยู่ที่นี่คงไม่ได้ปลูกพืชจำพวกข้าวเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงดูครอบครัว
ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาปลูกอะไรเพื่อดำรงชีพนั้น เรื่องนี้เสวียนอวี๋ไม่รู้จริงๆ
แต่เสวียนอวี๋สามารถมั่นใจได้เลยว่า อาหารของพวกเขาจะต้องไม่เพียงพอเป็นแน่
เนื่องจากไม่เพียงแค่ครอบครัวของผู้หญิงคนเมื่อครู่เท่านั้นที่ผอมแห้ง แม้แต่เป็ดไก่ที่พวกเขาเองก็ผอมแห้งไม่ต่างกัน
หากมีอาหารมากเพียงพอ คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่อ้วนไม่เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเป็ดไก่ที่พวกเขาเลี้ยงจะต้องอ้วนและไม่มีสภาพเช่นนี้
และด้วยสถานการณ์ดังกล่าว มีเพียงเถามันเทศเท่านั้นที่จะสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้
เมื่อได้ยินเสวียนอวี๋กล่าวออกมาเช่นนี้ เซียวเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง พูดตามความจริง แม้แต่เซียวเฉวียนเองก็คิดไม่ถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ต้องบอกเลยว่า เจ้าเด็กน้อยเสวียนอวี๋ นับวันเขายิ่งโตขึ้น ความคิดของเขารอบคอบ แถมยังรู้จักเป็นห่วงและคิดแทนประชาชน
เจ้าเด็กคนนี้เติบโตได้อย่างรวดเร็วจริงๆ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่งนัก
เซียวเฉวียนมองมาที่เสวียนอวี๋ด้วยสายตาที่มีความหมาย “เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม แต่เจ้าเอาเถามันเทศมาด้วยงั้นหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...