ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1889

สรุปบท บทที่ 1889 ค้นพบเบาะแส: ซูเปอร์ลูกเขย

บทที่ 1889 ค้นพบเบาะแส – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย

ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1889 ค้นพบเบาะแส จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

นี่ควรจะเป็นคำถามของเสวียนอวี๋เสียมากกว่า

เนื่องจากที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่าเขารู้สึกว่าเซียวเฉวียนน่าจะพกเถามันเทศติดตัวมาด้วย

เรื่องจากเซียวเฉวียนชอบกินมันเทศเอาเสียมากๆ และภาพชุนเซี่ยวก็สามารถใส่อะไรลงไปก็ได้

แต่คำถามนี้ของเซียวเฉวียน ถามออกมาราวกับว่าเขาไม่ได้พกเถามันเทศติดตัวมาด้วย

แต่ดูเหมือนว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะนี่ไม่ใช่พฤติกรรมของเซียวเฉวียนเอาเสียเลย

เสวียนอวี๋กะพริบตา เขามองไปที่เซียวเฉวียน “ท่านอาเซียวไม่ได้เอาเถามันเทศติดตัวมาด้วยงั้นหรือ?”

นี่มันผิดหลักวิทยาศาสตร์

เมื่อเห็นหน้าที่สับสนของเสวียนอวี๋ เซียวเฉวียนก็เลิกที่จะล้อเล่นกับเสวียนอวี๋ “เอามา”

แต่เนื่องจากเป็นการเดินทางออกจากเกาะนกกระสา เซียวเฉวียนจึงไม่ได้นำมันเทศมามากสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงมอบมันเทศให้กับครอบครัวแต่ละครอบครัวได้เพียงสองสามหัวเท่านั้น จากนั้นก็ทำการสอนพวกเขาเพาะปลูกมันเทศเพื่อเป็นอาหารและขยายพื้นที่เพาะปลูกต่อไป

พูดจบเซียวเฉวียนก็เอาเถามันเทศออกมาจากภาพชุนเซี่ยวสองสามหัว จากนั้นก็เดินกลับไปยังบ้านที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่

เห็นพวกของเซียวเฉวียนทั้งสองคนเดินกลับมาอีกครั้ง ผู้หญิงที่ยังไม่ทันกลับเข้าไปในบ้านก็ถามออกมาด้วยใบหน้าสงสัย “คุณชายทั้งสองมีเรื่องอันใดงั้นหรือ?”

เมื่อครู่นางกระตือรือร้นในการต้อนรับพวกเขา แต่พวกเขากลับรีบร้อนที่จะจากไป ตอนนี้เดินกลับมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่

เสวียนอวี๋มอบเถามันเทศในมือให้กับผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นาง ท่านอาเซียวมอบสิ่งนี้ให้กับพวกท่าน”

จากนั้นเสวียนอวี๋ก็อธิบายเกี่ยวกับการเพาะปลูกมันเทศให้กับผู้หญิงคนนั้นฟัง รวมถึงวิธีกินแล้วนำมาใช้ประโยชน์อย่างละเอียด

ผู้หญิงที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาคู่นั้นของนางเป็นประกาย มองมันเทศที่อยู่ในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ้มออกมาตรงมุมปาก “บนโลกนี้มีพืชที่วิเศษขนาดนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

เสวียนอวี๋กล่าวออกมาว่า “มันเทศไม่เพียงแค่สามารถกินเป็นอาหารได้เท่านั้น แต่ใบของมันก็สามารถนำมาทอดกินได้ด้วย”

สรุปก็คือ มันเทศเป็นสมบัติอันล้ำค่า

ผู้หญิงคนนั้นดีใจมากที่ได้ยินสิ่งนี้ นางยิ้มออกมาด้วยแววตาที่เปล่งประกาย “เยี่ยม! เยี่ยมไปเลย! เยี่ยมมาก! ขอบคุณคุณชายทั้งสองมาก”

เสวียนอวี๋ตอบกลับไปว่า “นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”

พูดจบทั้งสองคนก็เดินออกไปจากบ้านของผู้หญิงคนดังกล่าว

จนกระทั่งเงาของทั้งสองคนหายไป ผู้หญิงคนนั้นถึงเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับมันเทศอันล้ำค่าที่อยู่ในมือ

เห็นนางยิ้มไม่ยอมหุบ สามีและลูกของนางก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบนางเอาไว้ มองมาที่มันเทศในมือของนางด้วยความสงสัย

สามีของนางถามออกมาว่า “สิ่งนี้มันคืออะไรอย่างนั้นหรือ?”

เหตุใดถึงทำให้นางมีความสุขได้มากถึงเพียงนี้?

ในความทรงจำของเขา แม้ว่านางจะได้เงินสนับสนุนจากครอบครัวของเขา เขาก็ไม่เห็นนางดีใจถึงเพียงนี้

ลูกชายของเขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว แม่ สิ่งนี้คืออะไรอย่างนั้นหรือ?”

ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า “ของสิ่งนี้เรียกว่ามันเทศ เป็นพืชที่เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า”

เป็นพืช?

พวกเขาไม่เคยเห็นพืชที่มีหน้าตาเช่นนี้มาก่อน

ผู้หญิงคนนั้นอธิบายให้พวกเขาฟังเหมือนกับที่เสวียนอวี๋อธิบายออกมา

หลังจากสามีและลูกชายได้ยินเช่นนั้น ปฏิกิริยาของพวกเขาก็เหมือนกับปฏิกิริยาเดิมของนางทุกประการ

ผ่านไปครู่หนึ่ง สามีและลูกชายของเขาถึงจะได้สติกลับคืนมา พูดออกมาด้วยความตกใจว่า “มีของดีขนาดนี้อยู่จริงงั้นหรือ?”

พืชที่เปรียบเสมือนสมบัติ มันน่าประหลาดใจยิ่งนัก แถมยังสามารถกินเป็นอาหารได้

สำหรับที่นี่ เงินนั้นไม่ได้มีอำนาจเท่ากับอาหารในการดำรงชีพ

สำหรับชาวบ้านที่นี่ ขอแค่พวกเขามีกิน ได้กินอาหารสามมื้อต่อวัน แต่ให้พวกเขาไม่มีเงิน พวกเขาก็รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขานั้นเป็นสุขแล้ว

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ในสายตาของพวกเขา ความสุขของพวกเขาก็คือการได้อิ่มท้อง

ผู้หญิงคนนั้นกล่าวออกมาว่า “คุณชายทั้งสองกล่าวออกมาเช่นนี้ พวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องโกหก ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันเป็นความจริง”

สุดท้ายแล้วจะเป็นความจริงหรือไม่ แค่ทำตามที่เสวียนอวี๋กล่าวออกมา แค่นั้นก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?

ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลในตัวของมันเอง!

แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะส่งสัญญาณออกมาอย่างลับๆ

เขากลัวว่าหากไม่ระวัง แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะถูกฆ่าตายไปด้วย

เสวียนอวี๋กล่าวออกมาว่า “พี่ชาย พวกข้ามาที่นี่เพื่ออยากพูดคุยกับท่านสักเล็กน้อย ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด”

ในขณะที่พูดออกมา เสวียนอวี๋จงใจพูดออกมาเสียงดังเพื่อทำให้คนอื่นที่อยู่ในบ้านหลังนั้นได้ยินไปด้วย

เนื่องจากเสวียนอวี๋รู้ว่า ในบ้านของชายผู้นี้ มี “แขก” ที่ไม่ได้รับเชิญอาศัยอยู่ด้วย

ชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร เขาปิดประตูในทันที

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขากลับขี้ขลาดถึงเพียงนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้เลยว่า “แขก” ไม่ได้รับเชิญที่อยู่ในบ้านของเขานั่นน่ากลัวเพียงใด ถึงขั้นที่ทำให้เขาไม่กล้าเล่นตุกติกเลยแม้แต่น้อย

เห็นเช่นนั้น ท่านอาเซียวก็ไม่ได้พูดกับผู้ชายคนนั้นต่อไป เขาหันกลับมาหาเซียวเฉวียนพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านอาเซียว บ้านหลังนี้มีปัญหา”

เซียวเฉวียนพยักหน้า “อ่า เจ้าฟังเสียงหัวใจของเขายังไม่จบ”

หากฟังจบเสวียนอวี๋ก็จะรู้ว่า บ้านของชายคนนั้นไม่เพียงแต่มี “แขก” ไม่ได้รับเชิญอยู่เท่านั้น แต่ยังมีคนหายไปอีกคนด้วย

แต่คนที่หายไป ตอนนี้อยู่ไปอยู่ในมือของคนอื่น

หากเซียวเฉวียนเดาไม่ผิด คนที่อยู่ในบ้านของชายผู้นั้นน่าจะเป็นคนของนักปราชญ์ หรือไม่ก็คนของย่าเหยียน หากไม่ใช่เสวียนจิ้งก็คงเป็นพี่น้องเว่ยหง

เสวียนอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงัน จากนั้นกล่าวออกมาว่า “ท่านอาเซียวพูดถูก หลังจากนี้ข้าจะต้องรอบคอบให้มากกว่านี้”

เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงหัวใจของชายผู้นั้นเพียงบางส่วนจริงๆ

เซียวเฉวียนยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ไปบ้านหลังต่อไปกัน”

ในเมื่อเริ่มเดินแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องเดินไปยังบ้านอีกสามหลังที่เหลือด้วย

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาถึงจะสามารถเข้าใจถึงสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด และไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

จุดประสงค์ที่เซียวเฉวียนทำเช่นนี้ก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนพวกนี้ทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์

สีหน้าของเสวียนอวี๋ดูเข้าใจ เขาเดินตามหลังเซียวเฉวียนไปทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย