สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1890 ยิ่งปกปิดก็ยิ่งฉาวโฉ่ – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท ตอนที่ 1890 ยิ่งปกปิดก็ยิ่งฉาวโฉ่ ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
บ้านหลังถัดไป อยู่ห่างออกไปไกล
แต่ทั้งสองคนมีทักษะยอดเยี่ยม ยามที่ไม่มีใครอยู่ เซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋จะใช้วิชาตัวเบา กังฟูประมาณห้านาที ก็มาถึงประตูเรือนอีกหลัง
ณ ขณะนี้ เป็นเวลาสายแล้วและแดดค่อนข้างแรง แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของเซียวเฉวียนคือมีคนอยู่ในบ้าน อีกทั้งยังมีเด็กสองคนกำลังเล่นโคลนอยู่ตรงด้านหน้าประตู
เด็กทั้งคู่ดูอายุราว ๆสี่ห้าขวบ เนื่องจากทั้งสองดูอายุห่างกันไม่มากนัก
เด็กๆเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่รู้เลยว่าเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋มา
เสวียนอวี๋จึงกระแอมในลำคอ เพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเขา
กลิ่นอายจากร่างกายของเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ แม้แต่ผู้ใหญ่เห็นยังรู้สึกกลัว แล้วจะนับประสาอะไรกับเด็ก
ดวงตาสีดำเข้มของเด็กทั้งคู่ฉายแววหวาดกลัว ไม่เล่นโคลนอีกต่อไป รีบวิ่งปรี่เข้าไปในบ้าน
ขณะที่วิ่งก็ส่งเสียงร้องตะโกนเรียก “พ่อ แม่!”
ซึ่งน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัว
ทันใดนั้น มีเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
แม้นจะยืนอยู่ด้านนอกประตู เซียวเฉวียนก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยฟันน้ำนมพูด “มีคนอยู่ด้านนอก ข้ากลัว”
หญิงสาวจึงพูดปลอบอย่างอ่อนโยน “โอ๋ ๆ ไม่ต้องกลัวนะ พวกเจ้าไปหาพ่อเถิด เดี๋ยวแม่จะออกไปดูเอง”
เพียงครู่เดียว เซียวเฉวียนก็เห็นหญิงสาวเดินออกมา
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ก็ตกตะลึง จากสีหน้าของเธอเห็นได้ชัดว่าในใจนั้นรู้สึกกลัวมาก แต่เธอพยายามที่จะสงบสติอารมณ์
แล้วถามออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “พวกท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ?”
เสวียนอวี๋จึงตอบกลับไป “แม่หญิง พวกข้ากำลังตามหาคนอยู่ จึงเดินผ่านมาที่นี่”
ก็คือหมายความว่า เจ้าวางใจได้ พวกข้าไม่ใช่คนไม่ดี
ซึ่งการเรียกขานเช่นนี้ มาจากตอนที่เสวียนอวี๋ออกไปเดินเล่นในเมืองหลวง และได้เรียนรู้มาจากผู้อื่น
ในตอนนั้นมีชายวัยชราผู้หนึ่งกำลังสอนเด็กอายุราวคราวเดียวกันกับเสวียนอวี๋ ชายผู้นั้นนั้นกล่าวว่า ถ้าอยากจะทำให้ผู้อื่นประทับใจ เจ้าจะต้องปากหวาน หากพบบุรุษก็จงเรียกขานว่าท่านพี่หรือท่านอา แต่ถ้าหากพบเจอกับหญิงสาวก็เรียกว่าแม่หญิง
สรุปคือต้องเป็นบุคคลที่มีมารยาท การเรียกขานผู้อื่นจะต้องได้ใจจากคนฟัง ยิ่งการเรียกขานที่อ่อนกว่าวัยก็ยิ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี
ฉะนี้ก็สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกประทับใจได้
ยกตัวอย่างเช่น หากฝ่ายตรงข้ามกำลังรู้สึกไม่ดีต่อคุณ แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกขานว่า “แม่หญิง” พวกเขาก็จะมีหน้าตาท่าทีที่อ่อนโยนยิ้มแย้มทันที
ยามได้ยินดังนี้ สีหน้าของหญิงสาวผ่อนคลายลงและเอ่ยพูด “ไม่ทราบว่าพวกท่านกำลังตามหาผู้ใดอยู่หรือ?”
เสวียนอวี๋จึงกล่าวตอบกลับ “มิทราบว่าแม่หญิงพบเห็นคนแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่?”
บอกว่ากำลังตามหาผู้ใด หญิงสาวผู้นี้อาจบอกว่าเคยเห็น เพราะเธอน่าจะไม่เคยเห็นนักปราชญ์และย่าเหยียน
อีกอย่างทั้งสองคนก็มีรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์อย่างเห็นได้ชัด
ส่วนเว่ยหงนั้น เสวียนอวี๋ไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีรูปลักษณ์อย่างไร
ส่วนเสวียนจิ้งที่เป็นผู้ติดตามของนักปราชญ์ ถ้าหากเคยเจอะเจอกับนักปราชญ์ก็อาจเคยพบเห็นเสวียนจิ้ง
รวมแล้วมีทั้งหมดห้าคน เสวียนอวี๋เองจึงไม่แน่ใจว่าผู้ใดอยู่ที่นี่ ทางที่ดีจึงบอกว่าเป็นบุคคลแปลกหน้าไว้ก่อน
เมื่อได้ยินเสวียนอวี๋บอกว่ากำลังตามหาคนแปลกหน้า ทันใดนั้น หญิงสาวก็มีท่าทีหลบเลี่ยง
เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
ชายคนนี้รีบพยักหน้าตอบ “ท่านพี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ขอบคุณที่ท่านไว้ชีวิตข้า”
ต่อหน้าเว่ยหง บุรุษผู้นี้ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพี่ ความจริงในใจของเขา เว่ยหงก็เปรียบเสมือนกับยมบาล ที่สำคัญชีวิตของตัวเขาเองและคนในครอบครอบครัวอยู่ในมือของเว่ยหง ซึ่งอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อทุกโอกาส
เว่ยหงเงยหน้าขึ้นมองชายคนนี้โดยไม่พูดอะไร
ทางด้านเสวียนอวี๋ เขารู้ว่าเซียวเฉวียนหมายถึงอะไร ดังนั้นตลอดการเดินทางเขาจึงไม่ถามอะไรแก่เซียวเฉวียน
ผ่านไปสักพัก จนกระทั่งเกือบถึงประตูบ้านอีกหลังหนึ่ง เสวียนอวี๋ก็เอ่ยพูดเบาๆ “ท่านอาเซียว ข้าคิดว่าเรือนหลังนี้มันแปลกๆ ”
เซียวเฉวียนหรี่ตาลงและถามอย่างสงสัย “โอ้?ไหนเจ้าลองบอกมา”
จริงๆแล้วเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เพียงแต่เขาต้องการฟังความคิดของเสวียนอวี๋
เสวียนอวี๋จึงหันไปมองเซียวเฉวียนพร้อมพูด “ท่านอาเซียว ท่านดูเถิด เรือนหลังนี้มีเพียงเสื้อผ้าสองชุดแขวนอยู่ตรงหน้าบ้าน”
แต่ตามที่สวีย่าเคยกล่าว ครอบครัวนี้มีมากกว่าสองคน ฉะนั้นจะต้องมีเสื้อผ้ามากกว่าสองชุด
“อีกอย่าง บ้านที่เราเคยไปก่อนหน้านี้ ก็คือบ้านของสวีย่า ที่อาศัยอยู่เพียงผู้เดียว และเขาก็มีเลี้ยงสัตว์ปีก”
สิ่งที่เสวียนอวี๋จะสื่อก็คือ เกษตรกรเหล่านี้น่าจะมีเลี้ยงสัตว์ปีกในบ้าน แต่ทว่าครอบครัวนี้กลับไม่มีสัตว์ปีแม้แต่ตัวเดียว
และสิ่งที่ทำให้เสวียนอวี๋มั่นใจมากขึ้น คือเมื่อครู่นี้เขาเห็นชายหนุ่มสองคนอยู่ในห้อง แต่ใบหน้าของพวกเขากลับไม่มีชีวิตชีวาดั่งที่วัยหนุ่มสาวควรจะมี ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความหวาดกลัว
ยิ่งไปกว่านั้น ทำให้เสวียนอวี๋เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาเห็นตนเองและเซียวเฉวียน แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นจงใจปิดประตู
และการปิดประตูในช่วงกลางวันแสกๆ ทำให้เห็นได้ชัดว่าอยากปกปิดความจริง แต่ยิ่งปิดก็ยิ่งฉาวโฉ่
ดังนั้นถ้าหากบอกว่าเรือนหลังนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ ต่อให้ตีเสวียนอวี๋ให้ตายอย่างไรก็ไม่เชื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...