อ่านสรุป บทที่ 1899 ฉวยจังหวะเผลอ จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1899 ฉวยจังหวะเผลอ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ยายเหยียนสามารถพบว่าพู่กันเฉียนคุนเป็นดาบชีวัน เซียวเฉวียนไม่เพียงแต่ไม่แปลกใจ กลับคิดว่ามันสมควร
ก็เพราะยายเหยียนเป็นชาวคุนหลุน มีกำลังขนาดนี้ ยังเป็น "วัตถุโบราณ" อย่างจริงแท้ด้วย
หากจะใช้คำพูดยุคใหม่มาบรรยาย ยายเหยียนกินเกลือยังมากกว่าที่เซียวเฉวียนกินข้าวอีก นางรู้ได้ถึงภายในของพู่กันเฉียนคุนว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว เซียวเฉวียนรู้สึกไม่มีอะไรแปลก
แต่ว่า นางคิดจะเอาเรื่องชื่อเสียงมาขู่เซียวเฉวียนนั้น นางคิดผิดแล้ว
นั่นแสดงว่านางยังรู้จักเซียวเฉวียนไม่ดีพอ ถ้านางรู้ดีพอ นางคงต้องรู้ว่าเซียวเฉวียนไม่ติดใจสายตาของชาวโลกสักนิด ที่เขาครองใจผู้คนมากมายในขณะนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจอยากได้ แต่เพราะสิ่งที่เขาทำ ทำให้ผู้คนมองเห็นความดีของเซียวเฉวียนอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้เปลี่ยนทัศนะที่มีต่อเซียวเฉวียนด้วยใจของพวกเขาเอง
เซียวเฉวียนทำสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง แต่ทำเพื่อเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของเหวินเจี้ยวยวี่ ปีศาจกวี เซียวเทียน เป็นต้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าชาวโลกจะมองดูเซียวเฉวียนอย่างคนเดิม อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและประชาชน เซียวเฉวียนก็คงจะทำอยู่ดี
ยายเหยียนมาคิดเช่นนี้ คิดกลับตาลปัตรไปเสียแล้ว
สิ่งที่ว่าชื่อเสียงนั้น มีมูลค่ากี่สตางค์ กินแทนข้าวได้ไหม ?
ไม่ได้ทั้งนั้น !
เซียวเฉวียนไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยปากของคน
ชาวโลกว่าเขาว่า ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ หยิ่งยโส บ้าบิ่นเกเร เอาแน่เอานอนไม่ได้ มันก็เพียงเป็นอคติของชาวโลกที่มีต่อเขา พวกเขาว่าก็ว่าไป เซียวเฉวียนก็ไม่ได้ขาดแขนขาดขา ทำไมต้องไปใส่ใจ ?
ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ
มีชีวิตอยู่บนโลก ก็ต้องใช้ชีวิตให้ดั่งใจหน่อย ทำอะไรไป ก็แค่ไม่ขัดกับมโนธรรมก็พอ !
เซียวเฉวียนกล่าวอย่างเย็นชา "เจ้าสำนักเหยียนบอกว่าพู่กันเฉียนคุนเป็นดาบชีวัน ก็ต้องมีหลักฐานสิ "
พูดปากเปล่าไม่มีที่อ้างอิง พูดแล้วมีใครจะเชื่อ ?
ตามตรรกะของนาง เซียวเฉวียนก็สามารถกล่าวหาว่าไม้เท้าของนางก็เป็นดาบชีวันได้
หรือว่าไม้เท้าของนางเป็นจริงๆ วะ ?
ขอให้รู้ว่าตอนนี้ เซียวเฉวียนได้ครองใจชาวประชาเป็นอย่างมาก ใครจะมาว่าร้ายเซียวเฉวียน ต้องดูว่าชาวบ้านเห็นดีเห็นงามหรือไม่
เซียวเฉวียนเคยได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับเซียวเฉวียนในเมืองหลวง พอมีข่าวออกมา ชาวบ้านต่างก็ด่าทอคนที่ปล่อยข่าวลือก่อกวน พวกเขาล้วนเข้าข้างเซียวเฉวียนและต่างแสดงว่าพวกเขาจะไม่เชื่อข่าวลือ
ด้วยเหตุเช่นนี้ ข่าวลือก็ถูกระงับไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจสร้างกระแสใดๆ เลย
ถ้ายายเหยียนเอาเรื่องของพู่กันเฉียนคุนไปพูด ชาวบ้านก็อาจมองว่ามันเป็นข่าวลือและจะไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว ยังดุด่าสับแช่งคนแพร่ข่าวลือสักยกใหญ่ด้วย
คิดจะอาศัยข่าวลือมาใส่ร้ายเซียวเฉวียน ก็ต้องอ้างอิงหลักฐาน
นอกจากนี้ แม้นางจะมีหลักฐาน แต่หากเซียวเฉวียนปฏิเสธหรือย้อนโต้แย้งนาง ชาวโลกคงจะเข้าข้างเซียวเฉวียนเป็นส่วนใหญ่
กล่าวได้อีกอย่างว่า เซียวเฉวียนไม่เคยกลัวกลอุบายประเภทนี้
จากที่ฟังมานี้ ดูเหมือนเซียวเฉวียนเป็นคนที่หนังเหนียวจิกไม่เข้าจริงๆ
เดิมกะว่าเซียวเฉวียนเหนื่อยกายเหนื่อยใจเพื่อเอาชนะใจผู้คน เขาต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ แต่ไม่คิดว่า เซียวเฉวียนดูไม่แยแส ซึ่งยายเหยียนค่อนข้างคาดไม่ถึงจริงๆ
แต่ว่า มีคนไม่น้อยที่ปากว่าตาขยิบ ยายเหยียนไม่แน่ใจว่าเซียวเฉวียนแสร้งทำให้นางคิดสับสนหรือเปล่า
ก็หมายความว่า เซียวเฉวียนอาจจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียง แต่เพื่อที่จะขจัดความคิดของยายเหยียนในการใช้เรื่องชื่อเสียงมาคุกคามเขา เขาจึงเจตนาพูดแบบนี้และแสร้งทำเป็นไม่ติดใจอะไรเลย
เซียวเฉวียนมีเล่ห์กลมากมายอยู่เสมอ จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาทำแบบนี้
ดังนั้นยายเหยียนจึงพูดต่อไปว่า "งั้นหรือ ? งั้นเราก็คอยดูก็แล้วกัน"
ดาบชิวันถือเป็นสิ่งต้องห้ามของชาวโลก เซียวเฉวียนมีสถานะสูงส่ง แต่เขากลับมาใช้ดาบชีวัน
ถึงจะไม่มีหลักฐาน แต่หากข่าวนี้แพร่ออกไป ก็จะนำไปสู่การคาดเดาอย่างไม่รู้จบ
ทันใดนั้นแสงสีแดงและสีขาวก็ทวีความแรงยิ่งขึ้น แสงนับพันนับหมื่นลำสาดส่องจากด้านหน้าลงสู่บนร่างของยายเหยียน
แสงที่เจิดจ้าอย่างที่สุด สาดจนดวงตาของยายเหยียนหรี่ลงกว่าเดิม
นางมองเห็นรอบๆ โดยผ่านซี่ว่างอันเรียวยาวเท่านั้น นางพลางจับจ้องการเคลื่อนไหวของเซียวเฉวียน พลางแอบรวบรวมกำลังภายในต้านทานแสงของพู่กันเฉียนคุน
ยายเหยียนรู้ดีว่าพู่กันเฉียนคุนมีอนุภาพร้ายแรงขนาดไหน
ตอนนี้ยิ่งมีดาบชีวันมาเกื้อหนุน อนุภาพของพวกมันยิ่งทวีมากขึ้นอย่างน่าตกใจ หากพลาดนิดเดียว หากเจ็บเพราะแสงของพวกมัน ก็จะแย่ทีเดียว
พู่กันเฉียนคุนเป็นของจากคุนหลุน มีจิตวิญญาณมาก ใครได้รับบาดเจ็บจากพวกมัน ถึงจะเป็นคนมาจากคุนหลุน ก็จะสูญเสียพลังอย่างมหาศาล
ไม่มีเวลาเดือนครึ่งเดือนก็ไม่อาจฟื้นได้จนหายสนิท
แม้ว่ากำลังของพู่กันเฉียนคุนยังห่างไกลจากยายเหยียน แต่ด้วยวิธีการต่อสู้ของพวกมันค่อนข้างพิเศษ พวกมันจะยิงแสงออกมาเป็นพันๆ ลำ เหมือนกับยิงลูกธนูนับพันๆ ลูกออกมาอย่างต่อเนื่อง
ถ้ายายเหยียนต่อสู้กับพู่กันเฉียนคุนเพียงลำพัง นางยังไม่เกรงเท่าไร ไม่มองพวกมันอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
แต่ที่นี่นอกจากพู่กันเฉียนคุนแล้ว ยังมีเซียวเฉวียนอยู่ด้วย
เซียวเฉวียนมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะและก็มีกำลังมาก ยายเหยียนกลัวว่าเซียวเฉวียนมาลอบจู่โจมโดยฉวยจังหวะเผลอ
กลัวสิ่งอะไรก็จะเกิดสิ่งอันนั้น
แสงจากพู่กันเฉียนคุนยิ่งมายิ่งแรง จนยายเหยียนไม่อาจจะลืมตาได้เลย
นางสุ่มฉีกผ้าสีดำมาเส้นหนึ่ง ปิดตาของนางไว้ และอาศัยกำลังภายในที่แข็งแกร่งต้านทานการรุกตีของพู่กันเฉียนคุนไว้
ในขณะนี้เอง เซียวเฉวียนเปลี่ยนจากท่าทีเชิงป้องกันมาเป็นเชิงรุก เขากวัดแกว่งดาบจิงหุนและรุกมาที่ยายเหยียนอย่างไวราวกับสายฟ้าแลบ
กะจะสังหารนางชนิดที่รับมือไม่ทัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...