สรุปตอน บทที่ 1915 มืดแปดด้าน – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1915 มืดแปดด้าน ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
กิเลนหลบต่อหน้าเสวียนจิ้ง จ้องมองเสวียนจิ้ง จากนั้นจึงหายใจเข้าใส่เขาเบา ๆ
ลมหายใจที่หายใจออกนั้นร้อนมากจนเสวียนจิ้งถอยหลังไปสองสามก้าวโดยสัญชาตญาณ จากนั้นลืมตามองกิเลน
เมื่อเห็นความอยากรู้อยากลองของกิเลนที่ยังคิดอยากจะสูดลมหายใจใส่เขา ในที่สุดเสวียนจิ้งก็ตระหนักได้ว่า เจ้านี่ที่กล้าทำทำให้เขาทำงานช้าลง
ว่ากันว่าผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันคือวีรบุรุษ
การช่วยชีวิตคุณเป็นสิ่งสำคัญเสวียจิ้งไม่สามารถรุกรานบุคคลที่ขึ้นชื่อว่า “นายท่าน“ได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโบกมีดในมือ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และโค่นต้นไม้ในไม่กี่จังหวะ
ภายใต้การดูแลของกิเลนประสิทธิภาพของเสวียจิ้งได้รับการปรับปรุงอย่างมาก เพียงแค่อึดใจเขาได้ฟืนที่ต้องการแล้ว
จากคำที่ผนึกจูเสินพูดโน้มน้าว เซียวเฉวียนเลิกออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขาอย่างเด็ดขาด เซียวเฉวียนปฏิเสธที่จะทำงานประเภทนี้ที่ใช้พลังงานภายในของเขาและทำให้ตัวเองต้องทนทุกข์ทรมาน
พอได้หยุดทำ จู่ ๆ ร่างกายเขาก็ดีมากขึ้น
พอเห็นเซี่ยวเฟิงและกิเลนนำเรื่องจัดการเรียบร้อย พวกเขายังสั่งให้เซี่ยวเฟิงทำงานและเห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้วิธีใช้ทุกสิ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด เซียวเฉวียนพอใจกับการทำงานของพวกเขามาก
พวกเขามาที่นี่ก็เกินเวลาธูปหนึ่งดอกหมดแล้ว ก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาย่าเหยียน เซียวเฉวียนมั่นใจได้แน่นอนว่าเธอจะไม่ติดตามเขาอีก
ที่นี่จึงปลอกภัยเป็นอย่างมาก
มีสัตว์สงครามสองตัวเฝ้าดูการณ์อยู่ที่นี่ เสวียนจิ้งไม่สามารถทำอะไรผิดได้ เพราะฉะนั้นเซียวเฉวียนจึงรู้สึกโล่งใจและเลือกสถานที่ที่สะดวกสบายในการหลับนอน
ผ่านไปประมาณสองชั่วยาม เสวียนจิ้งได้จัดวางโครงสร้างของที่พักแล้ว ทั้งหมดนี้เขาทำคนเดียว เล่นเอาซะเหนื่ยจนหอบ
เสวียนจิ้งผู้ได้รับการปรนนิบัติมาตั้งแต่เด็ก จะเคยทำแบบนี้ได้อย่างไร?
ทำมาเป็นเวลาขนาดนี้ เขาก็เหนื่อยที่จะพูดพร่ำ มีแผลพุพองมากมายบนมือที่ถือมีด และมันจะเจ็บทุกครั้งที่ใช้แรง
รู้สึกอึดอัดใจชะมัด!
แม้ว่าเสวียนจิ้งจะกลายเป็นผู้หลบหนีและวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เสวียนจิ้งไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อน
แม้ว่าจะติดสอยห้อยตามนักปราชญ์เพื่อคอยปรนนิบัติ แต่สิ่งที่เสวียนจิ้งทำก็ยังถือว่ายังน้อยนัก เช่นต้มข้าว จับปลาอย่างนั้นเป็นต้น
จะทำงานหนัก ๆ แบบนี้ได้อย่างไร
ชีวิตนี่เต็มไปด้วยความประหลาดใจจริงๆ
ใครจะคิดว่า คนในตระกูลครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงในเมืองหลวงต้าเว่ย จะมาอยู่ในสภาพเช่นนี้และใช้ชีวิตที่ไร้มนุษยธรรมนี้ได้
ใช่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของไพร่ฟ้าทั่วไป แต่สำหรับเสวียนจิ้งนั้น คือสิ่งที่พวกไร้มนุษยธรรมทำ
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้น แต่ความคิดแบบนี้ของเสวียนจิ้งนั้นก็ยังคิดใหม่ไม่ได้
เพราะว่าในใจเขา ความหายนะของเขาเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขอแค่เซียวเฉวียนนั้นตาย เขาก็จะสามารถได้ทุกอย่างกลับคืนสู่ตำแหน่งขุนนางและใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า และความมั่งคั่งที่สบายไปชั่วชีวิต
พูดได้ว่า ในใจของเสวียนจิ้ง แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองจะมาตกต่ำเช่นนี้
โดยเฉพาะรู้ว่าเซียวเฉวียนได้รับบาดเจ็บ เสวียนจิ้งก็เห็นทางสว่างของชีวิตแล้ว ขอแค่ย่าเหยียนมาหาเจอที่นี่ คงถึงคราวฆาตของเซียวเฉวียนแน่นอน!
แต่ว่าพูดไปพูดมา นี่มันก็ผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว เหตุใดย่าเหยียนถึงยังไม่ตามมาอีกเล่า?
ความเร็วของย่าเหยียน ไม่น่าจะนานขนาดนี้สิ
หรือว่าย่าเหยียนจะไปผิดทาง?
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม้ว่าท่านจะไปผิดทาง ตามมานานขนาดนี้แล้วยังม่เจอเซียวเฉวียนอีก ท่านก็ต้องทางตามใหม่ได้แล้วสิ ควรจะมาถึงที่นี่ได้แล้ว
เพราะความคิดเพลินของเสวียนจิ้ง จึงทำให้การงานช้าลง ในสายตากิเลน ที่คิดว่าเสวียนจิ้งกำลังแอบอู้อีก เขาพ่นไปที่ใบหน้าของเสวียนจิ้งอีกครั้งโดยไม่ได้ เพื่อกระตุ้นให้เขาทำงานเร็ว ๆ ขึ้น!
นี่ถือว่าเกรงใจแล้วนะ มันแค่อุ่น ๆ ไม่ได้เผ็ดขนาดนั้น
ในตอนแรก เพื่อซ่อนตัวตนของเธอจากนักปราชญ์ ย่าเหยียนไม่ได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายวิญญาณ
จนกระทั่งเธอเดินมาไกลจนพอสมควรแล้ว จนไม่เห็นเหงาของนักปราชญ์แล้ว ย่าเหยียนจึงถึงได้ใช้วิชาเคลื่อนวิญญาณ
ในพริบตาเธอก็ตามอาเล่อได้ในที่สุด
พอเห็นย่าเหยียนปรากฏ อาเล่อถึงกับมีหน้าตาสับสน “ผู้นำเหยียน ท่านมาที่นี่ได้เยี่ยงไร?“
พวกเขาแยกทางกันตั้งแต่แรก
ย่าเหยียนพูดตอบกลับว่า “มีหน้าผาอยู่ทางทิศตะวันออก เจ้าสำนักใหญ่ลงไปหาข้างล่าง แต่ก็ไม่ได้พบแม้แต่เงาของเซียวเฉวียน”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้
อาเล่อตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยไม่พบอะไรระหว่างทางบางทีเราอาจมาผิดทางก็ได้นะขอรับ“
แม้ว่าความเร็วของเขาจะไม่เร็วเท่ากับสัตว์ร้ายสงคราม แต่สัตว์สงครามทั้งสองตัวกำลังนำพาคนอยู่ การเคลื่อนไหวของพวกเขาจะช้ากว่าการเคลื่อนไหวคนเดียวอย่างแน่นอน ตราบใดที่พวกเขาทำงานหนักเพื่อไล่ตามด้วยความเร็วของอาเล่อ ก็ไม่มีปัญหาในการไล่ตามพวกเขา
ในกรณีที่พวกเขาพบที่ซ่อนอยู่ใกล้ ๆ อาเล่อก็สังเกตสถานการณ์ใต้เท้าของเขาอย่างระมัดระวังตลอดทาง และพบว่าพื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นที่ราบหรือเป็นหมู่บ้าน ซึ่งไม่เหมาะสำหรับเซียวเฉวียนและสัตว์สงครามในการซ่อน
ด้วยสัตว์สงครามสองตัวและคนสองคน เป้าหมายจึงใหญ่ไปหน่อย หากพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้าน ที่อยู่ของพวกเขาจะถูกเปิดเผยได้ง่าย
และถิ่นทุรกันดารไม่ได้อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาและป่าเก่าแก่ไม่เหมาะที่จะหลบซ่อน
เอาเป็นว่าอาเล่อรู้สึกว่าเซี่ยวเฟิงจะไม่หลบหนีไปในทิศทางนี้
หลังจากไล่ตามเขาไปตลอดทาง ย่าเหยียนก็พบสิ่งนี้ด้วย และเธอก็เห็นด้วยกับมุมมองของอาเล่อ
พอพูดไปหาไป ทั้งสองก็เดินก็เป็นระยะทางไกล แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเซี่ยวเฟิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...