สรุปเนื้อหา บทที่ 1920 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1920 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
จากนั้นใช้การกระทำของตนเอง เพื่อให้เหล่าชาวบ้านได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของนักปราชญ์ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านนักปราชญ์ก็จะสอนสั่งคำสอนของสำนักหมิงเซียนให้กับพวกเขา
ขอเพียงแค่พวกเขามีความรู้สึกชื่นชมต่อนักปราชญ์และสำนักหมิงเซียนนั้น เช่นนี้พวกเขาย่อมยินยอมที่จะเข้าร่วมกับสำนักหมิงเซียนด้วยความเต็มใจ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่อาศัยที่นี่มานานหลายปี หาได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่ ย่อมมิรู้ถึงอดีตของสำนักหมิงเซียน
หรือในอนาคตข้างหน้า หากพวกเขาออกจากตีนผานี้ไป พวกเขาย่อมเข้าใจถึงอดีตที่ผ่านไปของสำนักหมิงเซียน
เมื่อพวกเขาลงเรือมาลำเดียวกันแล้วเช่นนี้ ทั้งยังเอ่ยคำสาบานออกมา พวกเขาย่อมมิทางทรยศต่อสำนักง่าย ๆ
ถึงอย่างไรพวกเขาเข้าร่วมกับสำนักหมิงเซียน พวกเขาย่อมได้เรียนรู้ทักษะที่แท้จริงบางอย่าง อีกทั้งสำนักหมิงเซียนหาได้สั่งให้พวกเขาทำอันใดที่เป็นอันตรายต่อฟ้าดินไม่
ขอเพียงแค่เซียวเฉวียนตกตายไป ย่อมมิมีผู้ใดมาคอยสร้างปัญหาให้กับสำนักหมิงเซียนอีก ชื่อเสียงของสำนักหมิงเซียนเองก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมในไม่ช้า
หากไม่มีเซียวเฉวียน สำนักหมิงเซียนก็จะยังคงยืนหยัดและคงอยู่ในใต้หล้าตลอดไป
เมื่อคิดเช่นนี้ นักปราชญ์พลันรู้สึกดียิ่งนัก
เพื่ออนาคตที่ดีของตน นักปราชญ์มีแต่ต้องเสี่ยงชีวิตเท่านั้น เมื่อเห็นว่าชาวบ้านพยายามที่จะปิดประตูเช่นนี้ เพื่อขวางกั้นท่านนักปราชญ์เอาไว้ หากแต่เสมือนนักปราชญ์ท่านนักปราชญ์จักมองไม่ออก พลางใช้มือกั้นประตูบ้านอย่างสุดกำลังแล้ว พลางกล่าวออกมาอย่างไร้ยางอายว่า “สวัสดีน้องชายท่านนี้ ให้ข้าอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราวได้หรือไม่ รอจนข้าหายดีเมื่อใด ข้าจักไปเอง เจ้าว่าเป็นเช่นไร?"
เมื่อพูดมาจนถึงสุดท้าย เสียงของท่านนักปราชญ์พลันเบาลงไปในทันที
ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เป็นสิ่งที่ท่านนักปราชญ์แกล้งทำขึ้นมา
เพื่อที่จะค่อย ๆ เข้าหาชาวบ้านนั้น ท่านนักปราชญ์ได้แต่พยายามอย่างสุดกำลัง แม้แต่หน้าตาของตนเองเขาก็ยอมละทิ้งมันไปได้
"ได้หรือไม่?" สามคำที่ยังมิทันได้เอ่ยถามออกมานั้น ท่านนักปราชญ์จึงใช้แรงดึงออกไปข้างหน้า พร้อมทั้งแสร้งทำเป็นลมหมดสติล้มลงขวางต่อหน้าประตูรั้วของชาวบ้านในทันที ทำเอาชาวบ้านมิอาจปิดประตูได้
ชาวบ้านเป็นคนธรรมดาที่มีจิตใจดีย่อมมิเคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เมื่อเห็นมีคนเป็นลมล้มลงอยู่หน้าประตูบ้านของตนเองเช่นนี้ ด้วยความมีน้ำใจ ชาวบ้านทั้งหลายจึงเรียกให้คนมาช่วยอุ้มนักปราชญ์เข้าไปในบ้าน เพื่อให้ท่านนักปราชญ์พักอยู่ในบ้านของตนเองเป็นการชั่วคราว
แผนที่ประสบความสำเร็จของนักปราชญ์นั้น แม้ว่าตาจะหลับลงหากแต่ภายในใจกลับที่เต็มไปด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ด้วกลอุบายเล็ก ๆ เช่นนี้ ก็สามารถทำให้เขาสามารถอยู่ที่นี่ได้สำเร็จ
ครอบครัวตระกูลนี้เป็นคนสกุลจัง บุคคลที่อุ้มท่านนักปราชญ์เข้าไปนั้น เป็นบุตรชายคนรองของผู้เฒ่าจังนามว่าจังผิง
จังผิงที่อายุอานามได้สิบแปดปีเพิ่งจะได้ตบแต่งภรรยาไปเมื่อปีที่แล้ว
นอกจากบิดามารดาของเขาแล้วนั้น เขายังมีพี่ชายหนึ่งคนและพี่สาวหนึ่งอีกด้วย
พี่ชายที่แต่งงานไปนานมาแล้วนั้น มีบุตรชายถึงอายุแปดหนาวแล้ว
พี่สาวของเขาเองก็ตบแต่งออกไปตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน
ดังนั้น หลังจากที่จังผิงแต่งงานไปได้ไม่นาน ทั้งบิดามารดาจึงได้ทำการแยกบ้านบุตรชายออกไป
จังผิงและฮูหยินอาศัยอยู่กับบิดามารดา ส่วนพี่ชายของเขานามว่าจังชิงนั้น ได้มาทำการสร้างบ้านข้าง ๆ เพื่ออาศัยอยู่กับฮูหยินและลูก ๆ ของเขา
นั่นหมายความว่าภายในบ้านหลังนี้ มีเพียงจังผิงและฮูหยินพร้อมทั้งบิดามารดาของเขาเท่านั้นที่อาศัยอยู่
ผู้ที่ช่วยจังผิงอุ้มนักปราชญ์เข้ามานั้นก็คือพ่อจังนั่นเอง
เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งนั้น เสี่ยวจังซื่อพลันเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีเกรงกลัวว่า "แม่ นี่ใครน่ะ? พวกเราพาเขากลับมาที่บ้านเช่นนี้ จักมิเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาใช่หรือไม่?"
เสี่ยวจังซื่อที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านตีนผานั้น ย่อมมิเคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เมื่อรวมไปถึงอายุยังน้อยทั้งยังมีแต่ความขี้ขลาดเช่นนี้ คงกลัวเกิดปัญหาตามมา
แม่จังพลางตบหลังมือของเสี่ยวจังซื่อเบา ๆ พลางกล่าวปลอบใจขึ้นมาว่า "มิต้องเป็นกังวลไป ผิงเอ๋อร์มิได้เล่าว่า ก่อนที่คนผู้นั้นจักเป็นลมสลบไปนั้น เขาบอกว่าเผอิญหลงทางมาที่นี่หรือ"
บางทีระหว่างการเดินทางเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้ มิเช่นนั้นคงมิเป็นลมล้มพับไปเช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทีผมสีดอกเลาและหนวดเคราสีขาวนั้น คนตรงหน้าคงอายุอานามมิใช่น้อย ๆ ทั้งยังต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่ด้านนอกอีก นับว่าน่าสงสารยิ่งนัก
เขายังกล่าวอีกว่า ทันทีที่เขาหายดีเขาจักรีบออกจากที่นี่ในทันที
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นับว่าคนตรงหน้ามีมารยาทยิ่ง คงมิใช่คนไม่ดีกระมัง
ชีพจรนับว่าเป็นตัวบ่งบอกถึงอาการภายในร่างกาย ตราบใดที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นมานั้น ทั้งร่างกายและชีพจรก็จักเกิดปัญหาตามไปด้วย
อาจเป็นไปได้ว่า พ่อจังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดปัญหาอันใดขึ้นกับภายในร่างกายของนักปราชญ์ผู้นั้นคืออะไร พ่อจังเองคงมิได้จับชีพจรผิดไปหรอกกระมัง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พ่อจังกล่าวว่าชีพจรของนักปราชญ์เป็นปกติดีนั้น นั่นหมายความว่าชีพจรของท่านนักปราชญ์ย่อมต้องเป็นปกติดี
ฉะนั้นแล้ว จังผิงจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ไป เขาพลางหันไปเหลือตามองท่านนักปราชญ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้ามากระซิบที่ข้างหูของพ่อจังว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเขาแกล้งเป็นลม”
จุดประสงค์ก็คือต้องการที่จะพักอาศัยอยู่ในตระกูลจัง
หลังจากได้ยินคำพูดของจังผิงนั้น พ่อจังพลางจ้องมองไปจังผิงด้วยความตกใจในทันที ก่อนจะกระซิบกระซาบตอบกลับว่า "เป็นไปไม่ได้หรอก?"
ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร
ในที่สุดเสวียนจิ้งก็อดทนอยู่รอดมาได้จนถึงรุ่งเช้า หากแต่เขาในยามนี้มิอาจอดทนได้ไหวอีกต่อไปแล้ว เปลือกตาของเขาค่อย ๆ ตกลงโดยมิได้ตั้งใจ
เซียวเฉวียนผู้ที่พักผ่อนจนร่างกายเต็มไปด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมนั้น จึงได้เดินออกมา ก่อนจะมาหยุดอยู่ข้างหน้าเสวียนจิ้ง พลางกล่าวออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยว่า "ครุ่นคิดมาทั้งคืนแล้ว เจ้าคิดออกแล้วหรือยัง?"
คิดบ้าอะไรกัน!
เสวียนจิ้งที่ง่วงนอนมากจนมิอาจยกเปลือกตาขึ้นมาได้นั้น เขาเหลือบตาปรือขึ้นมองไปที่เซียวเฉวียน ทว่า กลับมิอาจเอ่ยคำพูดออกมาได้อย่างชัดเจน
ความรู้สึกเหนื่อย ง่วง หิว กระหายน้ำทุกข์ทรมานยิ่งนัก เสมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด!
เสวียนจิ้งรู้สึกว่ายมทูตกำลังโบกมือเรียกตัวเขาอยู่
เซียวเฉวียนพลางโยนกระบอกไม้ที่เซี่ยวเฟิงไปใส่น้ำแร่เอาไว้ ก่อนจะกล่าวว่า " น้ำ ให้เจ้า"
น้ำคือแหล่งกำเนิดของชีวิต
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเสวียนจิ้งจักต้องตาย หากแต่เซียวเฉวียนสมควรจักได้รับคำตอบจากเขาเสียก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...