ตอน บทที่ 1922 ทำเอาคนตกตะลึง จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 1922 ทำเอาคนตกตะลึง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
มิคิดเลยว่า สัตว์สงครามสองตัวและคนอีกหนึ่งคนจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้!
ย่าเหยียนคลาดโอกาสที่จะได้ไล่ตามเซียวเฉวียนไปเสียแล้ว เมื่อเข้าสู่ช่วงวันที่สองแล้วนั้น ก็หาได้พบเจอร่องรอยของเซียวเฉวียนไม่ ความกระตือรือร้นในการติดตามของย่าเหยียนเองก็ลดลงเช่นกัน
ในเวลานี้ ทั้งนางและอาเล่อกำลังยืนอยู่บนยอดเขาที่เปลือยเปล่า พลางกวาดตามองไปรอบๆ
นางมั่นใจมากว่าตนเองจักสามารถตามหาเซียวเฉวียนเจอ จากนั้นก็ส่งเขาไปหายมบาลเสีย
แต่ความเป็นจริงก็กระแทกเข้าหน้านางอย่างจัง นางหาตัวเซียวเฉวียนไม่เจอด้วยซ้ำ!
มิรู้ว่าเป็นเพราะเซี่ยวเฟิงวิ่งเร็วเกินไปหรือเป็นเซียวเฉวียนที่เจ้าเล่ห์มากเกินไปกันแน่
ย่าเหยียนได้แต่ลอบหายใจออกมา ก่อนจะกล่าวว่า "พวกเราไปกันเถอะ"
การสังหารเซียวเฉวียนหาใช่สิ่งเดียวในภารกิจของนางไม่ ในเมื่อเซียวเฉวียนหลบหนีไปได้เช่นนี้ เกรงว่าหาค้นหาต่อไปก็คงมิอาจตามหาตัวเขาเจอได้ง่าย ๆ เช่นกัน
นางจึงทำได้แต่พากันแยกย้ายออกไปตาม สั่งให้คนของนางตามหาตัวเซียวเฉวียนในบริเวณใกล้เคียงต่อไป ในขณะที่สั่งให้คนอื่นๆ ออกไปตามหาที่อื่นแทน
ที่อื่นนั้นหมายถึงเมืองหลวง
ฐานทัพหลักของเซียวเฉวียนอยู่ที่เมืองหลวง ย่าเหยียนพลันรู้สึกว่าเซียวเฉวียนมีความเป็นไปได้มาที่จะกลับมาพักรักษาตัวที่เมืองหลวง
พบเจอหน้าเว่ยหงในคราก่อนนั้น ย่าเหยียนเคยบอกความเป็นไปได้นี้กับพวกเขาแล้วเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ให้เว่ยหงและคนอื่น ๆ ยังคงค้นหาที่อยู่ของเซียวเฉวียนที่นี่ต่อไป ในขณะที่ย่าเหยียนกับอาเล่อจะกลับไปคอยเฝ้าดูที่เมืองหลวงแทน
ภายในวังหลังของพระราชวัง
เม่ยซีที่ว่างเว้นมิมีสิ่งใดทำนั้น นางมักจะหาเวลาว่างมาพูดคุยคลายความเบื่อหน่ายกับองค์หญิงต้าถงอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่นางไปมาหาสู่เช่นนี้ เม่ยซีก็มักจะได้พบเจอเซียวหมิงชิวบ่อยครั้ง
ทว่า จากการที่นางได้พบเจอเซียวหมิงชิวมาแล้วหลายครั้ง นางก็อดรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะคำพูดและการกระทำของ เซียวหมิงชิวล้วนแต่ดูไม่ธรรมดา
เซียวหมิงชิวสามารถเดินและพูดคุยได้เร็วกว่าเด็ก ๆ ในวัยเดียวกัน อีกทั้งนางยังฉลาดเป็นกรด นี่คือสิ่งนางพอจะบรรยายความแปลกนั้นออกมาได้
ยามที่อยู่ในอันหยวนนั้น เม่ยซีเองก็พบเห็นกระบวนการเติบโตของเด็กมามากมาย นางรู้ดีว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
เด็กบางคนสามารถเดินยามมีอายุเพียงสิบเดือน เด็กบางคนอาจจะเดินได้ตอนอายุเพียงหนึ่งปีครึ่งหรือบางคนอาจจะเดินได้ช้ากว่านั้น
เด็กบางคนอายุเพียงขวบกว่าก็สามารถพูดคำบางคำได้แล้ว ยังมีเด็กบางคนที่อายุครบขวบหนึ่งแล้วยังไม่ยอมพูดออกมาเลยเช่นกัน
โดยรวมแล้วนั้น เด็กแต่คนล้วนแต่แตกต่างกันไป
อีกทั้งเซียวเฉวียนและองค์หญิงต้าถงเองก็เป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาด ดังคำกล่าวที่ในเมื่อบิดาเป็นพยัคฆ์บุตรชายย่อมมิใช่สุนัขแน่นอน เป็นเรื่องปกติที่เซียวหมิงชิวจะรวมข้อดีของเซียวเฉวียนและองค์หญิงต้าถงเอาไว้ด้วยกัน นั่นจึงทำให้นางกลายเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมกว่าคนธรรมดาทั่วไป
หากแต่เม่ยซีรู้สึกอยู่เสมอว่า ดวงตาสีดำที่เป็นประกายของเซียวหมิงชิวนั้น เสมือนกับว่าเด็กน้อยตรงหน้าสามารถมองผ่านทะลุจิตใจของผู้คนออกมาได้
ไม่ว่าเซียวหมิงชิวจักมีความสามารถเช่นนั้นจริง ๆ หรือไม่ ทว่า เซียวหมิงชิวเป็นเพียงเด็กที่อายุหนึ่งขวบสองขวบกว่าเท่านั้น นัยน์ตาของเด็กเล็ก ๆ เช่นนี้ควรจะต้องมีความใสซื่อบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเสียมากกว่า
เม่ยซีสัมผัสได้ว่าดวงตาของเซียวหมิงชิวนั้น เสมือนกับดวงตาของผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน
ฉะนั้น เม่ยซีจึงฉวยโอกาสยามที่นางอยู่เพียงลำพังกับองค์หญิงต้าถงนั้น เอ่ยถามขึ้นมาในทันที "องค์หญิงเพคะ เม่ยซีมีบางอย่างอยากเอ่ยถามท่าน แต่มิรู้ว่ามันสมควรถามออกมาหรือไม่"
เมื่อมีองค์หญิงต้าถงอยู่ด้วยนั้น เม่ยซีมักจะเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาอยู่เสมอ หากแต่วันนี้นางกลับมีท่าทีลังเลที่จะกล่าวออกมา องค์หญิงต้าถงที่เห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย พระนางพลางกล่าวออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยนว่า "พระชายาเชิญกล่าวออกมาได้เลยเพคะ"
องค์หญิงที่เติบโตขึ้นมาในวังตั้งแต่เล็กจนโตนั้น พระนางย่อมรู้จักกฎเกณฑ์และมารยาททั้งหมดเป็นอย่าง ถึงแม้ว่าภายในใจของนางจักถือว่าเม่ยซีเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ตาม แต่ไม่ว่าจักสนิทสนมกันเพียงใด แต่ก็สมควรจักเอ่ยเรียกนางตามฐานะที่นางได้เช่นกัน สิ่งนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังอยู่ในพระราชวังต้าเว่ยและเป็นอาณาจักรของผู้อื่น ดังนั้นควรจักต้องสำรวมและสุภาพ
องค์หญิงจึงเรียกขานเม่ยซีว่าพระชายาด้วยความเคารพ
เดิมทีเม่ยซีเป็นน้องสาวของไป๋ฉี่ ก่อนที่นางจักเข้ามาในวังหลวงนั้นนางก็ยังไปอยู่ในตรงกูลเซียวมาสักระยะหนึ่ง ดังนั้นพวกนางสองคนจึงสนิทสนมกันเป็นอย่างดีตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
ในเมื่อเม่ยซีให้ที่พักที่ปลอดภัยกับองค์หญิงในยามนี้ บุญคุณในครานี้ องค์หญิงจับจดจำเอาไว้ในใจมิมีวันลืมเลยทีเดียว
องค์หญิงที่ยึดมั่นในตนเองนั้น พระนางทำสิ่งใดล้วนแต่คิดคำนึงถึงตระกูลเซียวมาโดยตลอด นางเชื่อใจว่าเม่ยซีจักไม่เอาเรื่องของเซียวหมิงชิวออกไปพูดข้างนอกอย่างแน่นอน ดังนั้นองค์หญิงจึงเป็นคนเปิดปากเรื่องของเซียวหมิงชิวออกมาด้วยตนเอง
เมื่อเม่ยซีได้ยินเช่นนั้น นางจึงพยักหน้าลงในทันที “เป็นเรื่องนี้เพคะ”
องค์หญิงจึงกล่าวว่า "นางแตกต่างจากเด็กทั่วไปจริง ๆ"
เมื่อได้เริ่มพูดคุยเรื่องนี้ขึ้นมานั้น องค์หญิงจึงมิคิดปิดบังเรื่องพลิกฟ้าชะตาแผ่นดินของเซียวหมิงชิวให้เม่ยซีฟัง
หลังจากที่เม่ยซีได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนั้น นางถึงกับตาค้างไปในทันที
ถึงแม้ว่าเม่ยซีจะคิดว่าเซียวหมิงชิวแตกต่างอยู่แล้วก็ตาม แต่นางมิคิดเลยว่าเรื่องราวมันจะน่าทึ่งมากขนาดนี้
นี่มันเกินกว่าที่นางคาดหวังเอาไว้ไปมาห!
หากว่าเสี่ยวเชียนชิวแข็งแกร่งแล้วนั้น หากแต่เซียวหมิงชิวนั้นแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวเชียนชิวหลายเท่า!
เด็กที่เกิดจากเซียวเฉวียนและองค์หญิงต้าถงช่างพิเศษจริง ๆ!
เด็กที่อายุเพียงขวบกว่า ๆ ก็มีความสามารถมากมายเช่นนี้เลยหรือ!
แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าบิดาราชครูของนางเสียอีก!
เซียวหมิงชิวเป็นบุตรสาวของเซียวเฉวียนและองค์หญิงต้าถงจริง ๆ หาใช่เทพธิดาที่ตกลงมาจากฟากฟ้าไม่?
เม่ยซีดึงสติของตนเองกลับมาไม่ได้อยู่นาน เรื่องนี้มันน่าตกใจเกินไปแล้ว!
ไม่นานนัก เม่ยซีจึงค่อย ๆ ตกผลึกเรื่องราวอันน่าตกตะลึงที่นางเพิ่งได้ยินมา ก่อนจะเอ่ยปากให้คำมั่นสัญญาขึ้นมาว่า "องค์หญิงวางพระทัยได้เลยเพคะ เรื่องนี้เม่ยซีจักเก็บความลับมิเอ่ยออกมาอย่างแน่นอน"
เม่ยซีมาเยือนที่นี่หลายครั้งหลายครา ทว่า องค์หญิงหาได้เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาไม่ ยามที่อยู่ต่อหน้าเซียวเฉวียนนั้น พระนางก็มิเคยเอ่ยออกมาเลยเช่นกัน นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสามีภรรยาคู่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องเกี่ยวกับเซียวหมิงชิวมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...