อ่านสรุป บทที่ 1951 หลานสาวของข้า จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1951 หลานสาวของข้า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ทันทีที่เดินออกไป ลูกจ้างก็หันกลับมา “พวกท่านค่อยๆ ทาน อาหารของพวกท่านถูกจัดขึ้นโต๊ะครบถ้วนแล้ว”
คนผู้นี้พูดมากจริงๆ ย่าเหยียนไม่แม้แต่จะเงยหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพิกเฉยต่อคำพูดของลูกจ้าง ส่วนทางด้านของอาจั้น เขาพยักหน้าให้กับลูกจ้างเล็กน้อย เป็นการแสดงออกว่าเขาได้ยินในสิ่งที่ลูกจ้างพูดแล้ว
ลูกจ้างถึงเดินจากไปอย่างแท้จริง
กลัวว่าลูกจ้างคนนั้นจะกลับมาอีกครั้งจริงๆ ย่าเหยียนเงยหน้าขึ้นมองเงาหลังของเขา เมื่อเงาหลังของเขาหายไปจากสายตา ย่าเหยียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “อาจั้น ก่อนที่เจ้าเข้ามาในโรงเตี๊ยม เจ้าเห็นหรือไม่ว่าในนี้มีเด็กผู้หญิงอยู่หนึ่งคน?”
อาจั้นส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ข้าไม่เห็น”
น่าแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดย่าเหยียนเอาแต่พูดถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่?
ย่าเหยียนกล่าวออกมาว่า “นางก็คือดาบวิญญาณที่อยู่ข้างกายของเซียวเฉวียน”
ดาบวิญญาณปรากฏตัวออกมาในโรงเตี๊ยม แถมยังนำอาหารไปด้วย เช่นนั้นการที่พวกของเว่ยหงรอให้เซี่ยวเฟิงปรากฏตัว เกรงว่าคงเป็นการรอที่สูญเปล่า
คิดว่าเซียวเฉวียนเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ให้เซี่ยวเฟิงเดินไปเดินมาในตลอดบนท้องถนนในเวลากลางวัน เช่นนั้นจะดูโอ้อวดเกินไป ถึงได้เปลี่ยนตัวเซี่ยวเฟิงและใช้งานเสี่ยวเซียนชิวแทน
ในฐานะหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากย่าเหยียน ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและทำสิ่งต่างๆ ให้กับย่าเหยียน ไม่เคยปรากฏตัวออกมาก่อน แทบจะไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลยด้วยซ้ำ สำหรับเรื่องของโลกภายนอก พวกเขาเหล่านี้แทบจะไม่รู้อะไรเลย
ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่รู้ว่าข้างกายของเซียวเฉวียนนั้นมีดาบวิญญาณอยู่เล่ม และดาบวิญญาณเล่มนั้นก็มีนามว่าเสี่ยวเซียนชิว
ย่าเหยียนรู้สึกว่า เวลานี้คือเวลาที่ควรให้พวกเขาได้รับรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน
นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ดาบวิญญาณมีชื่อว่าเสี่ยวเซียนชิว นางกับเซียวเฉวียนเป็นพ่อลูกกัน”
ในเมื่อพูดออกมาแล้ว ย่าเหยียนจึงเอ่ยถึงคนข้างกายของเซียวเฉวียนที่มีความสามารถออกมาให้กับอาจั้นฟัง
ได้ยินเช่นนั้นอาจั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “ท่านเจ้าสำนักเหยียน ในความเห็นของท่าน ข้ากับเสี่ยวเซียนชิวใครแข็งแกร่งกว่ากัน?”
ย่าเหยียนกล่าวออกมา “สู้กันเดี๋ยวก็รู้เอง”
หากเป็นปกติ ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเซียนชิวน่าจะด้อยกว่าอาจั้น เนื่องจากอาจั้นได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ์มาจากย่าเหยียนโดยตรง
อาจกล่าวได้ว่าอาจารย์ที่มีชื่อเสียงสร้างลูกศิษย์ที่ดี
แค่ดาบวิญญาณกระจอกๆ จะไปเทียบกับลูกศิษย์ที่นางย่าเหยียนสั่งสอนมากับมือได้อย่างไร?
แต่จากที่ได้เห็นวันนี้ ดูเหมือนว่าย่าเหยียนเองก็ไม่คิดเช่นนั้น
หากอาจั้นแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวเซียนชิว ตอนที่อาจั้นเข้ามาในโรงเตี๊ยม อาจั้นก็จะน่าสัมผัสได้ถึงตัวตนของเสี่ยวเซียนชิวถึงจะถูก
สุดท้ายเสี่ยวเซียนชิวกลับเป็นฝ่ายที่สังเกตเห็นอาจั้นก่อน แถมยังสามารถซ่อนตัวจากอาจั้นได้สำเร็จ
แน่นอน เรื่องนี้ไม่สามารถนำไปพูดคุยกับอาจั้นได้ บางทีอาจเป็นเพราะอาจั้นขาดสติในเวลานั้น ประมาทมากเกินไปจนละเลยสิ่งรอบกายไปบ้าง
ดังนั้น หากต้องการรู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่าก็มีแต่ต้องให้พวกเขาทั้งสองได้ลองต่อสู้กันจริงๆ เท่านั้น
คำตอบนี้อาจจะฟังดูธรรมดา แต่เมื่ออาจั้นได้ยินเช่นนั้น เขากลับรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่เป็นที่ยอมรับของย่าเหยียน ทำให้หัวใจของเขาจมลง
จากความเข้าใจที่เขามีต่อย่าเหยียน ย่าเหยียนมันจะพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนในตัวเอง ไม่มีทางพูดอะไรที่ฟังดูคลุมเครือออกมา
แต่คำพูดของนางในวันนี้ มันทำให้อาจั้นรู้สึกว่านางไม่อยากทำลายความมั่นใจของย่าเหยียน นางจึงตั้งใจที่จะพูดออกมาเช่นนี้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ในใจของย่าเหยียน เขาไม่เทียบเสี่ยวเซียนชิวไม่ได้
อาจั้นคิดเรื่องนี้กับตัวเองเพียงลำพัง
ย่าเหยียนกล่าวออกมาว่า “มันก็ไม่แปลกที่เจ้าไม่รู้สึกตัว แม้แต่ข้าเองก็ยังจำนางแทบไม่ได้”
ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่เป็นเพราะนางไม่มีเวลามากพอและรู้สึกตัวว่าคนที่เดินผ่านนางไปคือเสี่ยวเซียนชิว
นางจึงปล่อยให้เสี่ยวเซียนชิวเดินผ่านไปอย่างนั้นภายใต้จมูกของนาง
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้รีบร้อนแค่ไหน ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นเวลากลางคืน ทำอะไรไม่สะดวก
ในถ้ำแห่งหนึ่ง
หลังจากที่สองพ่อลูกกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเอง
เซี่ยวเฟิงและกิเลนได้ปูหญ้าแห้งในถ้ำเอาไว้แล้ว ไม่มีพื้นที่สำหรับก่อไฟ ช่างเป็นการเตรียมการที่ขาดการวางแผนจริงๆ
แม้ว่าอุณหภูมิในวันนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องก่อกองไฟ แต่ในเรื่องของความสว่างแล้ว มันถือว่ายังเป็นสิ่งจำเป็น
จะนอนหลับตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ไม่ได้จริงไหม?
ดังนั้นเสี่ยวเซียนชิวจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บหญ้าบางส่วนมากองรวมกันไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เดินออกไปนอกถ้ำ ใช้แสงจันทร์เป็นตัวช่วยในการหาฟืน
เรื่องของการก่อไฟ แน่นอนว่าต้องยกให้เป็นหน้าที่ของกิเลน
ใครจะไปคิดว่าตอนที่กิเลนพ่นไฟออกมา มันจะไม่สามารถควบคุมความรุนแรงเอาไว้ได้ ทำให้เปลวไฟลุกลามไปยังกองหญ้าแห้งที่อยู่ด้านข้าง
โชคดีที่เสี่ยวเซียนชิวตอบสนองได้ทันเวลา ดับไฟเหล่านั้นได้ทัน ไม่อย่างนั้นเปลวไฟคงไหม้หญ้าไปจนหมด เสี่ยวเซียนชิวต้องเหนื่อยเพราะกิเลน และออกไปหาหญ้าแห้งในยามดึก
และเรื่องนี้ หากไม่ใช่นางก็คงต้องเป็นหน้าที่ของกิเลน แต่กิเลนนั้นเหมาะกับการเฝ้าหน้าถ้ำมากกว่า
กิเลนแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย มันหันไปมองเซียวเฉวียนด้วยแววตาของความรู้สึกผิด จากนั้นก็พยักหน้ายอมรับความผิดกับเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนกล่าวออกมาว่า “ไม่เป็นไร ก็ยังอยู่กันดีไม่ใช่หรือ?”
คนทุกคนล้วนเคยทำความผิด มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด? แค่หลังจากนี้จะต้องระวังให้มากขึ้นเท่านั้น
กิเลนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นก็เดินออกไป กลับไปยังตำแหน่งของมัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...