สรุปเนื้อหา บทที่ 1955 พลังแห่งความคิด – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1955 พลังแห่งความคิด ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
พอทำอย่างนี้ เมื่อข่าวลือพวกนี้แพร่กระจายไป พวกยายเหยียนก็จะไม่สามารถแน่ใจว่าเซียวเฉวียนอยู่ที่จุดไหนกันแน่
เรื่องแสร้งทำให้ดูเร้นลับนี้ เซี่ยวเฟิงรู้สึกว่าเล่นสนุกดี
เซียวเฉวียนฟังภาษาสัตว์ไม่รู้เรื่อง เลยไม่เข้าใจเสียงในใจของเซี่ยวเฟิง เวลานี้ เซียนชิวน้อยก็มาเป็นล่ามให้ระหว่างเซียวเฉวียนและเซี่ยวเฟิง
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยวเฟิงทำได้อย่างมีแผนการ เซียวเฉวียนถึงกับยกนิ้วหัวแม่โป้งให้เซี่ยวเฟิงและชมเชยว่า "ทำได้สวย"
เซี่ยวเฟิงชูหัวเสือขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างร่าเริงใจ
แต่ว่า คิดจะขยายขอบเขตการค้นหาของพวกยายเหยียน เซี่ยวเฟิงยังต้องไปสถานที่มากกว่านี้ และทำเรื่อง "กวน" ชาวบ้านให้มากกว่านี้อีก
เพื่อให้ได้ผลออกมาดียิ่งขึ้น เซียวเฉวียนรู้สึกว่าเซี่ยวเฟิงควรเลือกสถานที่หลายๆ แห่งที่ยิ่งห่างไกลไปจากที่นี่ จากนั้นปรากฏตัวในตลาดหลายๆ ครั้ง
ทำเช่นนี้แล้ว เมื่อข่าวนั้นไปถึงหูของพวกยายเหยียน เมื่อยายเหยียนพิจารณาแล้ว ก็จะถือเอาสถานที่ที่เซี่ยวเฟิงปรากฏถี่ที่สุดเป็นจุดสืบค้นเบื้องแรก
ด้วยวิธีนี้ เซียวเฉวียนก็สามารถหันเหความสนใจของยายเหยียนได้สำเร็จ
ขอให้ยายเหยียนออกไปจากเมืองมู่อวิ๋น เซียวเฉวียนถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
แต่ว่า เซี่ยวเฟิงไปเมืองไป๋ลู่ไม่ได้
ในเมืองไป๋ลู่มีทรัพย์สินของเซียวเฉวียน ยังมีคนที่เซียวเฉวียนต้องปกป้อง เซียวเฉวียนจะชักศึกเข้าบ้านไม่ได้
คำพูดของเซียวเฉวียน เซี่ยวเฟิงฟังเข้าใจทุกอย่าง นี่หมายความว่า เซี่ยวเฟิงเพิ่งจะกลับมา ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจอีกแล้ว
เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ เซี่ยวเฟิงยังไม่ทันได้พักเหนื่อย ส่งเสียงดังเฟี้ยวที หายตัวไปแล้วในชั่วพริบตา
ไปมาดั่งลมกรด ยังเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทบ้างานอีกด้วย
ถึงอย่างไร เซียวเฉวียนก็ชอบท่าทีทำงานในเชิงบวกอย่างเซี่ยวเฟิงในตอนนี้
ทีแรกกิเลนยังคิดว่าเซี่ยวเฟิงกลับมาแล้ว ในที่สุดมันก็มีสัตว์ที่มีภาษาเดียวกันมาเป็นเพื่อนพูดคุยคลายความเบื่อหน่ายได้ในบางครั้ง
ใครจะไปรู้ว่า เซี่ยวเฟิงกลับมายังยืนพื้นไม่ทันจะอุ่น ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจอีกแล้ว บอกได้ว่าเซี่ยวเฟิงงานกำลังชุกมือจริงๆ
ก่อนหน้านี้ กิเลนเคยอิจฉาเซี่ยวเฟิง แต่ครั้งนี้กลับอดเห็นใจเซี่ยวเฟิงไม่ได้ มันงานยุ่งมาก งานที่ต้องไปมาอย่างเร่งรีบแบบนี้เหนื่อยจริงๆ
แต่ความเป็นจริงคือ เซี่ยวเฟิงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแม้แต่นิด ตรงกันข้าม มันรู้สึกว่าได้ไปเที่ยวตรงนี้ทีเที่ยวตรงนั้นที แถมยังทำงานให้กับเซียวเฉวียนได้ด้วย ได้ผลดีด้วยกันทั้งคู่
ใช่แล้ว สำหรับเซี่ยวเฟิง การทำภารกิจนั้นคือแค่ถือโอกาสไปทำ จุดประสงค์หลักนั้นคือไปเที่ยวเตร่
“การใช้ชีวิตเยี่ยงเสือแบบนี้ กิเลนไม่เข้าใจหรอก”
เซียนชิวน้อยซึ่งรู้ละเอียดหลักจิตวิทยาของสัตว์สงครามทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะพร่ำออกมาคำนี้
สังเกตเห็นเซียนชิวน้อยมีสีหน้าแปลกๆ เซียวเฉวียนเหลือบมองเธอและถามอย่างสงสัย "เซียนชิวน้อย เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ ?"
พอเซียนชิวน้อยได้ยิน ก็รีบตั้งสติและยิ้มพูดว่า "พ่อ เซียนชิวน้อยไม่ได้คิดอะไร"
เรื่องมันเกี่ยวข้องกับจิตใจอันหยุมหยิมของสัตว์สงครามทั้งสอง เซียนชิวน้อยบอกเซียวเฉวียนไม่ได้
สัตว์สงครามทั้งสองมาจากคุนหลุนเช่นเดียวกับเซียนชิวน้อย พวกเขาทั้งสามเป็นเพื่อนบ้านเกิดเดียวกัน ทั้งยังรับใช้เซียวเฉวียนเป็นนายด้วยกันของพวกเขา เซียนชิวน้อยต้องรักษาหน้าให้กับสัตว์สงครามทั้งสองบ้าง รักษาความลับที่ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรนี้แทนพวกมัน
ในเมื่อเซียนชิวน้อยไม่เต็มใจจะบอก ก็หมายความว่ามันไม่ใช่สาระสำคัญอะไร เซียวเฉวียนก็ไม่ได้ซักถามต่อไป
สั่งการให้เซี่ยวเฟิงออกไปแล้ว ถ้ำก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม และเซียวเฉวียนก็ไม่มีอะไรทำอีกต่อไป
แต่อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดี ยังออกกำลังฝึกฝนไม่ได้
ดังนั้น เซียวเฉวียนจึงทำได้แต่ทบทวนบทกวีในใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
นับตั้งแต่มีตราจูเสินมาสิงในตัว วิชาการปราบด้วยคำพูดและพู่กันของซียวเฉวียนก็ใช้งานน้อยลงไปมาก
ต่อไปนี้จะต้องรับมือกับยายเหยียน วิชาทั้งสองนี้มีแนวโน้มที่จะใช้เป็นประโยชน์มากขึ้น
พูดตามตรง ถึงตอนนี้เซียวเฉวียนก็ยังไม่สู้จะช่ำชองในวิชาปราบด้วยคำพูดและพู่กันมากนัก
ไอ้ตราจูเสินนี้ ไม่ใช่ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน บอกอะไรบอกแค่ครึ่งหนึ่งเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง หรือว่ารู้แต่จงใจไม่บอก ทำให้เซียวเฉวียนหน้าแตกมาแล้ว
ยังหลอกเซียวเฉวียนไม่พอหรือ ?
ตราจูเสินไม่ชอบฟังพวกนี้แล้ว จะมาโทษตราจูเสินหลอกเขาได้ไง ?
ตราจูเสินก็ไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานเหล่านั้นนี่วา
มันมีชีวิตอยู่มานับพันปีและรู้หมดทุกอย่าง ในสายตาของมัน เซียวเฉวียนเป็นคนฉลาด เรื่องพื้นฐานมากมาย เขาควรรู้ล่วงหน้าไว้แล้วมิใช่หรือ ?
ใครจะไปรู้ว่า เซียวเฉวียนไม่รู้อะไรเลยตั้งมากมาย
เรื่องนี้ต้องตำหนิว่าเซียวเฉวียนมีความรู้สามัญสำนึกน้อยเกินไป เขารับรู้เข้าใจอะไรไม่ได้มาก
ไม่น่ามาตำหนิว่าตราจูเสินไปหลอกเขา
เซียวเฉวียนตอนนี้ยังควบคุมการปราบด้วยคำพูดของเขาไม่คล่องแคล่ว นั้นเป็นเพราะพลังแห่งความคิดของเซียวเฉวียนยังไม่ถึงระดับนั้น
พลังแห่งความคิดควบคุมการปราบด้วยคำพูด ไม่เหมือนสื่อเสียงด้วยความคิด ซึ่งแค่ขยับริมฝีปากเบาๆ ก็ทำได้แล้ว
พูดแบบนี้ พลังความคิดของเซียวเฉวียนยังไม่เพียงพอจริงๆ
เอาล่ะ ในเมื่อพบจุดปัญหาแล้ว เซียวเฉวียนก็จะใช้ความพยายามมุ่งไปทางนี้
เซียวเฉวียนกล่าวว่า "ขอบคุณ บรรพบุรุษผู้เฒ่า"
คำพูดที่เซียวเฉวียนกล่าวไปเมื่อกี้ หากทำให้ตราจูเสินไม่สบายใจ งั้นคำขอบคุณนี้จะต้องทำให้ตราจูเสินรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะอารมณ์ของตราจูเสินนั้นก็ถือว่าดีอยู่ ถึงจะโกรธก็หายโกรธอย่างรวดเร็ว
อยู่ด้วยกันกับตราจูเสินมานาน เซียวเฉวียนก็รู้ลึกถึงอารมณ์ของตราจูเสินอย่างปลอดโปร่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...