ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1961

สรุปบท บทที่ 1961 ยังไงก็ต้องยอม: ซูเปอร์ลูกเขย

สรุปตอน บทที่ 1961 ยังไงก็ต้องยอม – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง

ตอน บทที่ 1961 ยังไงก็ต้องยอม ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

คำตอบเป็นเหมือนที่ผนึกจูเสินกล่าวออกมาอย่างแน่นอน

น่าทึ่งยิ่งนัก ความสามารถในการคำนวณของผนึกจูเสินนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

มันตอบสนองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ หากอยู่ในยุคปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากคงต้องตกใจ!

ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ผนึกจูเสินกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นอย่างไร? หากไม่ยอมรับก็ทำต่อไป”

บรรพชนของเจ้าก็เป็นบรรพชนของเจ้าตลอดไป ไม่ว่าเจ้าจะไตร่ตรองอีกสักกี่ครั้ง คำตอบก็ยังคงอยู่ที่ปลายนิ้ว และไม่มีทางผิดพลาดเป็นแน่

เซียวเฉวียนพูดประจบประแจง “ยอมแล้ว แน่นอนว่าข้ายอมแล้ว!”

ด้วยการคำนวณดังกล่าว ทำให้เซียวเฉวียนยอมรับความพ่ายแพ้จากหัวใจ

ตัวเลขทั้งหมดอยู่ในหลักร้อย เซียวเฉวียนไม่สามารถให้คำตอบออกมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

หากเป็นหลักสิบ เขาก็อาจจะให้คำตอบออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ

สำหรับผนึกจูเสิน เซียวเฉวียนให้การยอมรับมันจากใจจริง

คนประเภทนี้ หากอยู่ในยุคปัจจุบัน คนในสถาบันวิจัยต่างๆ คงอยากเชิญเขาเข้ามาเพื่อศึกษาว่าในสมองของเขามีอะไรอยู่บ้างเป็นแน่

เพราะแม้แต่เซียวเฉวียนที่ไม่ใช่นักวิจัย เขายังมีความคิดเช่นนี้อยู่เลย

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผนึกจูเสินถึงมีความมั่นใจในสมองของตัวเองถึงเพียงนี้

ที่แท้เขาก็มีความเชี่ยวชาญอยู่หลากหลายแขนงจริงๆ และสามารถนำออกมาจัดการกับเซียวเฉวียนได้ทุกเมื่อ

หรือพูดอีกอย่างก็คือ เมื่ออยู่ต่อหน้าผนึกจูเสิน เซียวเฉวียนไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย

โชคดีที่ผนึกจูเสินและเซียวเฉวียนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกัน ไม่ใช่ศัตรูกัน

ไม่อย่างนั้น หากเซียวเฉวียนต้องมีศัตรูที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มันคงทำให้เซียวเฉวียนปวดหัวไม่น้อย

ความคิดเช่นนี้ของเซียวเฉวียนทำให้ผนึกจูเสินรู้สึกขบขันโดยไม่รู้ตัว หากมันเป็นศัตรูกับเซียวเฉวียนแล้วทำให้เซียวเฉวียนรู้สึกปวดหัว แต่ตอนนี้เขาเป็นศัตรูกับย่าเหยียน เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปวดหัวเลยแม้แต่น้อย?

เมื่อเทียบกับย่าเหยียน ความแข็งแกร่งของผนึกจูเสินนั้นไม่อาจเทียบนางได้ ไม่อย่างนั้นเซียวเฉวียนคงไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ

แม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่ความคิดของเซียวเฉวียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าย่าเหยียนจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อสังเกตจากสิ่งที่ย่าเหยียนทำ ความทะเยอทะยานในใจของนางนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก

บางทีนางอาจแค่อยากฟื้นฟูสำนักหมิงเซียนของนางกลับคืนมา ให้สำนักหมิงเซียนคงอยู่ตลอดไป

ไม่อย่างนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของนาง หากนางต้องการพิชิตโลกใบนี้ นางคงทำสำเร็จต้องแต่หลายร้อยปีก่อนไปแล้ว

แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น

จากการคาดเดาของเซียวเฉวียน สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่นางเคยทำน่าจะเป็นเรื่องที่หลอกให้พี่น้องเว่ยหงไปแย่งชิงเลือดบริสุทธิ์ระหว่างคิ้วจากกองทัพตระกูลเซียวทั้ง 50,000 นาย

หรือไม่นางก็อาจจะไม่เคยทำเช่นนั้น

นอกจากนี้นางทำตัวต่ำต้อยในสำนักหมิงเซียนมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงกับเรื่องภายนอก

ด้วยความแข็งแกร่งของนาง หากนางตั้งใจที่จะสร้างปัญหา คนอย่างนักปราชญ์นั้นเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ

เหตุผลที่นางปล่อยให้นักปราชญ์เป็นเจ้าสำนัก นั่นก็เพราะนางไม่อยากกังวลกับเรื่องของสำนักหมิงเซียนมากเกินไป แม้แต่เรื่องของสำนักหมิงเซียนนางยังมีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นคงไม่ต้องถามว่านางมีความรู้สึกสนใจเรื่องโลกภายนอกหรือไม่

จากคำพูดของเซียวเฉวียน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากหัวใจไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน เซียวเฉวียนก็รู้สึกว่าสามารถจัดการได้ง่ายกว่าคนที่มีความทะเยอทะยานแต่ขาดความแข็งแกร่ง

เนื่องจากมีความทะเยอทะยาน เขาจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อชัยชนะ แต่ให้ไม่ได้กินไม่ได้นอน เซียวเฉวียนก็ยังเอาแต่คิดหาวิธีเอาชัยชนะมาให้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้ชายมีความทะเยอทะยานมากกว่าผู้หญิงมาโดยตลอด ผู้ชายส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะพิชิตและเปลี่ยนแปลกทุกอย่างบนโลกใบนี้

ผู้หญิงที่มีความคิดเช่นนี้นั้นมีอยู่น้อยมาก

ส่วนในเรื่องของความแข็งแกร่ง ร่างกายของผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นไม่อาจเทียบกับผู้ชายได้ สำหรับผู้หญิงแล้ว ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง สุดท้ายมันก็ทำให้พวกนางยอมแพ้กับหลายสิ่งหลายอย่างไปโดยไม่ตั้งใจ

สรุปก็คือ เซียวเฉวียนรู้สึกว่าการเป็นศัตรูกับผู้หญิงที่แข็งแกร่ง จำเป็นต้องแข่งขันกันในเรื่องของพลัง ไม่คงดีกว่าที่จะเป็นศัตรูกับผู้ชายด้วยกันที่มีพลังทัดเทียมกัน

แต่หลังจากที่ตามหาใต้หน้าผามาถึงสองครั้ง สุดท้ายนางก็ยังไม่พบร่องรอยของเซียวเฉวียนอยู่ดี

ราวกับว่ากำลังเห็นผี เป็นไปได้หรือไม่ว่าเซียวเฉวียนจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้โดยที่นางไม่รู้ตัว?

นางบินขึ้นไปบนขอบหน้าผา จ้องมองอาเล่อด้วยสายตาอันเฉยเมย “เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่าเห็นเซี่ยวเฟิงอยู่ที่นี่?”

หรือว่าเป็นเพียงแค่เงา?

ใต้หน้าผาแห่งนี้ นางได้ตามหาแล้วตามหาอีกแต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเซียวเฉวียน ใต้หน้าผาอันยิ่งใหญ่ สถานที่ที่ควรตามหา ย่าเหยียนก็ได้ตามหาไปทั้งหมดแล้ว

เซียวเฉวียนมีสัตว์สงครามอยู่สองตัว แถมยังมีเสี่ยวเซียนชิวอยู่ด้วย หากเสวียนจิ้งยังไม่ตาย ทางนั้นก็มีสามคนกับสัตว์สงครามอีกสองตัว หากพวกเขาซ่อนตัวอยู่ใต้หน้าผาจริงๆ พวกเขาก็ไม่มีทางซ่อนตัวได้มิดชิดถึงเพียงนี้

และหากมีเสวียนจิ้งอยู่ด้วยจริงๆ เขาก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะทิ้งเบาะแสเอาไว้เพื่อให้พวกของย่าเหยียนตามไปช่วยเขา

แต่นี่กลับไม่มีอะไรอยู่เลย ย่าเหยียนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าอาเล่ออาจจะมองผิดไป

อาเล่อตอบกลับมาอย่างมั่นใจ “ท่านผู้นำเหยียน ข้าน้อยมั่นใจเป็นอย่างมากว่าสิ่งที่ข้าเห็นนั้นเป็นเซี่ยวเฟิงจริงๆ”

เซี่ยวเฟิงมีขนสีขาวอยู่ทั่วร่างกาย เป็นที่สะดุดตาอย่างมาก อาเล่อไม่มีทางจำผิดเป็นแน่

ย่าเหยียนอดไม่ได้ที่จะหรี่ตา นางเข้าไปในภวังค์แห่งความคิด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงกล่าวออกมาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

พูดจบนางก็ส่งข้อความไปหาอาจั้นที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้ “อาจั้น เวลานี้เจ้าอยู่ที่ใด?”

ในเวลานี้ อาจั้นและอาเผิงอยู่ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งในถนนชางเฉิง นั่งจิบชาไปพร้อมกับฟังเรื่องซุบซิบนินทา ดูผ่อนคลายและสบายใจเล็กน้อย

จู่ๆ ได้ยินเสียงเรียกของย่าเหยียน สีหน้าของอาจั้นเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้ เขามองมาที่อาเผิง จากนั้นก็ใช้สายตาในการพูดคุย บอกให้อาเผิงออกไปจากที่แห่งนี้พร้อมกับเขา

อาเผิงเข้าใจ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับอาจั้นในทันที จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกมาจากโรงน้ำชา

ขณะที่กำลังเดิน อาจั้นก็ตอบกลับไปว่า “ท่านผู้นำเหยียน ข้าน้อยกับอาเผิงกำลังตามหาร่องรอยอยู่บนถนนชางเฉิง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเซียวเฉวียนแต่อย่างใด วันนี้พวกข้าจะตามหาให้ทั่วถนนชางเฉิง ดูว่าจะพบเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”

พูดแบบนี้ งั้นก็แสดงว่าเซียวเฉวียนไม่ได้อยู่ในรัฐมู่อวิ๋นด้วยงั้นหรือ? 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย