ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1976

สรุปบท บทที่ 1976 อาจารย์สวีหยินหยาง: ซูเปอร์ลูกเขย

บทที่ 1976 อาจารย์สวีหยินหยาง – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย

ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1976 อาจารย์สวีหยินหยาง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทละครจบลง ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน

สวีซูผิงต้อนรับอี้กุยให้นั่งลง พลางพูดจาสัพเพเหระว่า “เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเถอะ คุณชายอี้มีธุระอะไรหรือเปล่า?”

คนเราไม่มีธุระคงไม่ขึ้นเขาสามยอด ยิ่งอี้กุยคนนี้เป็นคนที่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ออกจากบ้านเลย แต่ตอนนี้กลับมาหาสวีซูผิงด้วยตัวเอง บอกว่าแค่มาคุยเล่น คงไม่มีใครเชื่อ

อี้กุ้ยจัดเสื้อผ้าของเขาให้เรียบร้อย นั่งลงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า "ท่าใต้เท้าเซียวเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ข้าไม่ปิดบังเลยข้ามาหาท่านจริงๆ มีเรื่องน่ะ เรื่องนี้พูดว่าใหญ่ก็ใหญ่ พูดว่าเล็กก็เล็ก”

ในสายตาของอี้กุย ตราบใดที่เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในสายตาของสวีซูผิง อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้นอี้กุยจึงไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ

อี้กุยยังคงเล่นปริศนา สวีซูผิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “เรื่องที่คุณชายอี้พูดถึง คงไม่เกี่ยวกับท่านใต้เท้าเซียวกระมัง?”

ทั้งเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ว่าอี้กุยเป็นแฟนตัวยงของเซียวเฉวียน?

มีเพียงเรื่องของเซียวเฉวียนเท่านั้นที่ทำให้อี้กุยกระตือรือร้นและเต็มใจขนาดนี้

ประโยคที่กล่าวออกมานั้น ทำให้อี้กุยตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่า สวีซูผิง ช่างเป็นคนเฉลียวฉลาดปานนี้

จู่ๆ เขาก็นึกถึงเซียวเฉวียน แม้ว่าเซียวเฉวียนจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่เขากลับคิดถึงเรื่องเซียวเฉวียนขึ้นมา และเดาได้ตรงกับความจริง

พูดตามตรง ตำแหน่งเสนาบดีคลังหลวงนั้น ช่างเป็นตำแหน่งที่ไร้ค่าสำหรับบุคคลที่มีความสามารถเช่นนี้

แต่ทว่า เรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องนอกเรื่อง อี้กุยมิใช่ฮ่องเต้ ความสามารถของบุคคลนั้น ย่อมไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา

กลับมาที่เรื่องหลัก อี้กุยยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ข้าปิดอะไรจากท่านใต้เท้าสวีไม่ลงเลยจริงๆ”

เรื่องราวเป็นเช่นนี้ จากข้อมูลที่อี้กุยรู้สวีซูผิง นอกจากจะมีงานหลักคือเสนาบดีคลังหลวงแล้ว เขายังมีงานอดิเรกอีกสองอย่าง หนึ่งคือ ผู้ฝึกสัตว์

คนที่รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกสัตว์นั้นมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเป็นความลับ และอี้กุยรู้เรื่องนี้จากฮ่องเต้

งานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งคือ อาจารย์หยินหยาง

อาจารย์หยินหยางเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูดาวฤกษ์ ตี๋หน้าผาก อ่านทิศทาง รู้ล่วงหน้าถึงภัยพิบัติ หาฮวงจุ้ย และประกอบพิธีกรรม

ในประวัติศาสตร์ของฮว๋าเซีย ก็มีอาจารย์หยินหยางเช่นกัน

อาจารย์หยินหยางมีต้นกำเนิดมาจากฮว๋าเซีย พัฒนาจากความคิดของสำนักหยินหยาง แลทฤษฎีปัญจธาตุกลายเป็นสายการบำเพ็ญเพียร

สำนักหยินหยาง เป็นลัทธิปรัชญาที่เฟื่องฟูในช่วงปลายยุคถึงต้นราชวงศ์ฮั่น โจวเหยียน ชาวเมืองฉี เป็นผู้ก่อตั้ง

ศาสตร์ของสำนักหยินหยาง เรียกว่า “ลัทธิหยินหยาง”เนื้อหาหลักคือหยินหยางทฤษฎีปัญจธาตุ

ลัทธิหยินหยาง เป็นหนึ่งในปรัชญาที่สำคัญที่สุดของชนชาติฮว๋าเซีย

ซือหม่าเฉียน บันทึกไว้ใน "บันทึกประวัติศาสตร์" ว่า ลัทธิหยินหยาง "สังเกตการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง แต่งเรื่องราวแปลกประหลาด"

สิ่งที่ควรค่าแก่การสังเกตคือ "จิ่งอี้" ไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องหยินหยางและไท้จี แต่เป็น "อี้จวน" ที่กล่าวถึงเรื่องหยินหยางและไท้จี

ในสมัยราชวงศ์ถังญี่ปุ่นมาเรียนรู้ลัทธิหยินหยาง และลัทธิทฤษฎีปัญจธาตุจากฮว๋าเซีย

ต่อมา อาจารย์หยินหยาง ในญี่ปุ่น กลายเป็นอาชีพที่เฟื่องฟูในยุคนั้น ฮ่องเต้ญี่ปุ่นได้รับความสงบสุขทางจิตใจ และความมั่นคงของราชบัลลังก์จากอาจารย์หยินหยาง ประชาชนชาวญี่ปุ่นได้รับการปลอบประโลมจากอาจารย์หยินหยาง ในชีวิตที่ยากลำบาก ในยุคมืด อาจารย์หยินหยาง เปรียบเสมือนเสาหลักทางจิตวิญญาณของญี่ปุ่นทั้งประเทศ

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นตัวแทนของความรุ่งเรืองของอาจารย์หยินหยาง แต่ อาจารย์หยินหยาง ในฮว๋าเซีย กลับค่อยๆ เสื่อมถอย

แต่ศาสตร์ของหยินหยางในญี่ปุ่น นั้นมีต้นกำเนิดมาจากลัทธิหยินหยาง และทฤษฎีปัญจธาตุของฮว๋าเซีย

ลัทธิหยินหยาง เป็นสาขาย่อยของปรัชญาโบราณของฮว๋าเซีย แสดงถึงแนวคิดที่ว่า ทุกสิ่งมีสองด้าน สองขั้ว ตรงข้ามกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน เป็นกฎเกณฑ์ที่ทำให้โลกหมุนเวียน

ดังนั้น สวีซูผิงอยากแสดงภาพลักษณ์แบบไหนต่อคนทั่วไป เซียวเฉวียนและอี้กุยก็รับแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องไปขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของเขา

ความรู้สึกของขอบเขต นั้นสำคัญมากสำหรับความสัมพันธ์ของมนุษย์

สวีซูผิงมองอี้กุยอย่างมีนัยยะ เขาพูดว่า “มีอะไรก็พูดมาเถอะ คุณชายอี้”

อี๋กุ้ยรอคำพูดนี้อยู่ เขาพูดอย่างจริงจังหอปี้เซิ่ง และบ่อนการพนันของท่านลุงเซียวสร้างเสร็จแล้ว กำลังรอเลือกวันมงคลเพื่อเปิดร้าน”

นัยยะก็คือ ให้เขาเลือกวันดีๆ ให้หน่อย

สวีซูผิงเข้าใจ เขาพูดด้วยสายตาที่เป็นประกายว่า “อย่างนั้นเหรอ แสดงว่าท่านใต้เท้าเซียวกลับมาเมืองหลวงแล้วสินะ?”

อี้กุยตอบว่า “ไม่ใช่ ท่านลุงเซียวบอกว่ามีธุระสำคัญต้องจัดการ เลยกลับมาไม่ได้ชั่วคราว แต่เรื่องเปิดร้านก็ต้องรีบจัดการ”

พูดแบบนี้ก็คือ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เซียวเฉวียนเจ้าของร้าน กลับมาดูแลไม่ได้?

เซียวเฉวียนเป็นคนรักเงินที่สุด อะไรจะสำคัญขนาดที่ทำให้เขาไม่กลับมาดูแลการเปิดร้านเหล้าและบ่อนของตัวเอง?

ตอนนี้ทั้งราชสำนักและบ้านเมืองก็ไม่มีอะไรสำคัญให้ต้องกังวล เซียวเฉวียนถึงกับต้องทุ่มเทขนาดนี้?

เรื่องนี้ สวีซูผิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลกใจ เขาเอาหัวเข้าหาอี้กุย พูดด้วยน้ำเสียงลึกลับว่า “คุณชายอี้ เราไม่พูดประเด็นอ้อมค้อม พูดตรงๆ เถอะ ใต้เท้าเซียวมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

นี่

สวีซูผิงมีปัญญาถึงขนาดนี้เลยหรือ?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย