เมื่อต้องสนทนากับคนที่ฉลาดแบบนี้จะต้องมีสติอยู่เสมอ เผลอเมื่อไหร่ก็อาจะโดนหลอกเอาได้
แต่พูดก็พูดเถอะ ทำไมเมื่อก่อนอี้กุยถึงไม่รู้เลยว่าสวีซูผิงฉลาดได้ถึงเพียงนี้?
สวีซูผิงผู้ถ่อนตน แต่จะซ่อนความฉลาดไว้ได้เก่งขนาดนั้นเชียวหรือ?
หรือสวีซูผิงที่เขารู้จักก่อนหน้านี้เป็นตัวปลอมกันแน่?
แม้ว่าฮ่องเต้จะยังทรงพระเยาว์แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่เก่งมากๆ แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสวีซูผิงเป็นคนมีความสามารถชนาดนี้?
แต่งตั้งสวีซูผิงให้เป็นเพียงข้าราชการว่างงาน แถมยังไม่ค่อยเรียกใช้เขาอีก นั่นทำให้อี้กุยรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
เมื่อนึกถึงตอนนี้ อี้กุยก็ลืมคำถามของสวีซูผิงไปและถามเขากลับว่า “ใต้เท้าสวี ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดท่านจึงเป็นเพียงรัฐมนตรีการคลังเท่านั้น?”
จากความสนิทสนมของเขากับฮ่องเต้ จากความสามารถมากล้นของเขา ยังไงก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นยศใหญ่ได้กว่านี้
เมื่อพูดจบอี้กุยก็นิ่งเงียบ การที่เขาพูดออกไปแบบนี้ก็เท่ากับบอกกับสวีซูผิงว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเซียวเฉวียน
การสนทนากับสวีซูผิง เป็นการตกหลุมพลางจริงๆ
อี้กุยไม่นึกเลยว่าเขาได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เหมือนการที่เขาตั้งใจปลูกสร้างที่ดินแต่สุดท้ายถูกสวีซูผิงครอบครอง
สายตาของเขามองไปที่สวีซูผิงอย่างไม่กระพริบ แต่ในใจก็คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้
สวีซูผิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “คุณชายอี้ เกรงว่าคำถามนี้ท่านต้องไปถามฝ่าบาทเองนะ”
มีเพียงฮ่องเต้ที่มีสิทธ์มอบตำแหน่งนี้ให้เขาได้ สวีซูผิงเองก็ไม่เคยถามว่าเพราะเหตุใดถึงให้เขาเป็นรัฐมนตรีการคลัง
แต่เขากลับชอบตำแหน่งข้าราชการว่างงานนี้ ทั้งสามารถแอบรับใช้ต้าเว่ยอย่างเงียบๆ อีกทั้งยังไม่ต้องไปพัวพันกับวังวลของอำนาจนั่น
แทนที่จะไปสนใจเรื่องอำนาจบาทใหญ่ สู้ไปสอดรู้เรื่องของชาวบ้าน ฟังพวกขี้นินทาซุบซิบกันยังดีซะกว่า
ยังปลอดภัยกับชีวิตอีกด้วย
ชีวิตนี้ติดหนี้บุญคุณเสิ่นฉี หรือจะพูดได้ว่าเสิ่นฉีช่วยชีวิตแลกชีวิต เขาจะไม่รักษามันได้อย่างไร
และเซียวเฉวียนก็ช่วยเสิ่นฉีแก้ไขปัญหาคาใจ พูดในอีกแง่นึง เซียวเฉวียนก็ถือเป็นผู้มีพระคุณสำหรับสวีซูผิงเช่นกัน อีกทั้งเซียวเฉวียนก็เป็นคนมีคุณธรรม เหตุนี้สวีซูผิงจึงเคารพเขา
อีกทั้งความสามารถของเซียวเฉวียนเองก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร เรียกได้ว่าเขาคือกระดูกสันหลังของต้าเว่ยเลยก็ว่าได้
ดังนั้นแล้ว สวีซูผิงก็ต้องปฏิบัติตัวดีต่อเซียวเฉวียน
เขาพูด “คุณชายอี้ เซียวเฉวียนเกิดเรื่องอะไร พูดมาเถอะ ไม่ต้องปิดบังข้าหรอก ”
หมายความว่า ไว้ใจเขาได้
อี้กุยยิ้มเล็กน้อย “ท่านคิดเยอะไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นอันใดหรอก ก็แค่ยุ่งกับงานราชการจนไม่มีเวลากลับมา”
“ท่านวางใจเถอะ”
ไม่ใช่ว่าสวีซูผิงไม่น่าไว้ใจ จริงๆเขาก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือคนนึง หากแต่เพราะเซียวเฉวียนกำชับไว้นักหนาว่าเรื่องที่เขากลับเมือง อย่าให้ใครรู้มาก
เรื่องสำคัญขนาดที่ อี้กุยเองก็ไม่อยากรับรู้!
เขารู้อยู่แล้วว่าสวีซูผิงจะไม่ขายเซียวเฉวียนเป็นแน่ หากแต่เขาไม่สามารถต้านทานความสามารถการอ่านใจของย่าเหยียนได้
คนแบบนั้น สวีซูผิงจะป้องกันได้อย่างไร?
เพื่อความปลอดภัย อี้กุยจะไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว
สวีซูผิงหัวเราะเบาๆ “คุณชายอี้ ท่านจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่เท่าที่ข้าเดา ตอนนี้เซียวเฉวียนกลับมายังเมืองนครแล้ว และกำลังพำนักอยู่กับท่านที่ศาลาคุนหวู่ใช่หรือไม่?”
สวีซูผิงรู้ได้อย่างไร?
ที่ที่เซียวเฉวียนจะไปมีมากมาย จวนเซียว สถานศึกษาชิงหยวน หอปี๋เซิ่ง บ่อนพนัน กองราชองครักษ์ หรือหากไม่ได้จริงๆก็ยังมีพระราชวังและจวนฉิน
ที่มากมายขนาดนั้น ทำไมสวีซูผิงถึงเดาได้ว่าเป็นศาลาคุนหวู่กัน?
ในเมื่อปิดไม่อยู่แล้ว อี้กุยก็ทำได้เพียงยอมรับไปตามความจริง “ดูท่าจะปิดท่านใต้เท้าไม่อยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...