สรุปตอน บทที่ 1978 เลือกวัน – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
ตอน บทที่ 1978 เลือกวัน ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเซียวเฉวียนได้รับบาดเจ็บ พระเจ้าจะเป็นผู้ทำการรักษาให้เขา
แต่ครั้งนี้เซียวเฉวียนกลับต้องหลบซ่อนเพื่อฟื้นฟูและรักษาตนเอง
ตามที่เซียวเฉวียนพูด เป็นไปได้ว่าเขาจะต้องพักฟื้นในศาลาคุนหวู่เป็นระยะเวลาประมาณครึ่งเดือน
ก่อนที่จะเดินทางมาถึงศาลาคุนหวู่ เขาได้พักฟื้นอยู่ด้านนอกเป็นเวลาหลายวันแล้ว แม้เซียวเฉวียนจะไม่ได้บอก แต่อี้กุยก็รู้เรื่องนี้ดี
กล่าวโดยสรุปก็คือ อี้กุยรู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บของเซียวเฉวียนในครั้งนี้นั้นแปลกออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ย่าเหยียนผู้นี้รับมือยากยิ่งนัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวีซูผิงกล่าวออกมาว่า “ใต้เท้าเซียวพูดออกมาเช่นนี้ ท่านก็จะเชื่อในคำพูดของใต้เท้าเซียวอย่างนั้นหรือ?”
เขาบอกว่าไม่ต้องกังวล เช่นนั้นก็เท่ากับว่าปลอดภัยแล้ว บาดแผลจะหายดีหรือไม่ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเวลา
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือ ห้ามเปิดเผยร่องรอยของเซียวเฉวียนออกไปเป็นอันขาด
ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้เจ้าหนุ่มเซียวเฉวียนได้เผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
น่าเสียดายที่สวีซูผิงไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเขาได้ สิ่งที่เขาทำได้คืออธิษฐานต่อพระเจ้าให้ช่วยคุ้มครองเซียวเฉวียน ให้เขาได้เป็นเสาหลักของต้าเว่ยต่อไป
หากต้าเว่ยต้องการพัฒนา เซียวเฉวียนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เซียวเฉวียนจึงจำเป็นต้องเอาชนะคนอย่างย่าเหยียนให้ได้!
อี้กุยกล่าวว่า “นั่นคือสิ่งเดียวในเวลานี้ ข้าเองก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บที่อยู่ของเซียวเฉวียนไว้เป็นความลับ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะรู้ว่าสวีซูผิงไม่มีทางพูดออกไป แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกำชับออกมาอีกครั้ง “ข้าหวังว่าใต้เท้าสวีจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
สวีซูผิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
พูดออกมาเช่นนี้ ต่อให้เขาอยากจะไปเยี่ยมเซียวเฉวียน มันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยของเซียวเฉวียน สวีซูผิงจึงต้องทำในสิ่งที่เขาควรทำอย่างซื่อสัตย์ และรออยู่ในที่ที่เขาควรอยู่
เขากล่าวว่า “หลังจากที่คุณชายอี้กลับไปแล้ว ช่วยกล่าวคำทักทายใต้เท้าเซียวแทนข้าด้วย ไว้เมื่อมีเวลาที่เหมาะสม ข้าจะไปเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง”
อี้กุยแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า ตอบกลับไปว่า “คำพูดของใต้เท้าสวี ข้าจะนำไปบอกกับใต้เท้าเซียวเป็นแน่ ข้าขอกล่าวขอบคุณแทนท่านปู่น้อยด้วย”
สิ่งที่สวีซูผิงไม่ควรรู้ สิ่งที่ควรรู้ เขาล้วนได้รับรู้ไปหมดแล้ว อี้กุยจึงกล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นก็ขอรบกวนใต้เท้าสวีเลือกวันมงคลให้ข้าด้วย”
เซียวเฉวียนพูดไว้แล้ว เรื่องเงินไม่อาจปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปได้ เรื่องการเปิดหอปี๋เซิ่งและบ่อนพนัน จะต้องรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ยิ่งวันนั้นเข้ามาถึงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
หลังจากเข้าใจคำขอของอี้กุยแล้ว สวีซูผิงก็กล่าวออกมาว่า “คุณชายอี้รอสักครู่”
พูดจบเขาก็รวบรวมสมาธิ พึมพำบางสิ่งบางอย่างออกมา แต่อี้กุยนั้นได้ยินไม่ชัดว่าเขาพึมพำอะไรออกมาบ้าง
ในขณะเดียวกัน เขาก็ดีดนิ้วของเขาไปมา
แม้ว่าอี้กุยเคยขอให้สวีซูผิงทำเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนั้นสวีซูผิงก็ไม่ได้จริงจังถึงเพียงนี้ แค่เขาเอ่ยปากอีกฝ่ายก็ให้คำตอบออกมาแล้ว
เมื่อดูจากการกระทำของเขาในวันนี้แล้ว เขาเหมือนพวกหลอกลวงในยุทธภพ
คิดไม่ถึงเลยว่า หนุ่มจอหงวนในตอนนั้นจะกลายเป็นสภาพเช่นนี้
ขณะที่ขอบเขตอันไกลโพ้นของอี้กุยถูกเปิดออก เขาก็รู้สึกขบขันกับการกระทำของสวีซูผิงอย่างช่วยไม่ได้
เขาหลุดหัวเราะออกมาดังลั่นในเวลาที่ไม่เหมาะสม
ในเวลานี้ สวีซูผิงยกเปลือกตาของเขาขึ้นมา มองมาที่อี้กุยด้วยแววตาอันเฉยเมย “คุณชายอี้ ท่าทางเมื่อครู่ของข้ามันน่าขันขนาดนั้นเลยงั้นหรือ?”
เดิมทีการทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องตลก แต่อี้กุยคิดว่าเป็นคนใครชิด จึงพูดคุยกันได้ง่าย และสวีซูผิงก็เกิดมาจากครอบครัวของบัณฑิต แต่กลับมาทำเรื่องเช่นนี้ อี้กุยจึงรู้สึกว่าภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นไม่สอดคล้องกันเอาเสียเลย เขาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
อี้กุยเองก็รู้ว่าการหัวเราะของเขานั้นเป็นการเสียมารยาทอย่างรุนแรง แต่เขาก็อดไม่ได้จริงๆ เขาทำได้เพียงกล่าวขอโทษสวีซูผิง “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว หวังว่าใต้เท้าสวีจะไม่ถือสา”
สวีซูผิงกลอกตาขาวใส่เขา “ข้าเป็นคนขี้ตระหนี่ขนาดนั้นเลยงั้นหรือ?”
เขาจะโต้เถียงกับคนรุ่นหลังเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อย่างนั้นหรือ?
นี่มันแสดงให้เห็นว่าเขาขาดความเอื้ออาทรมากเพียงใด?
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก อี้กุยเชิญสวีซูผิงไปทานอาหารและดื่มชา ไม่ว่าจะเลือกอันไหนทั้งหมดก็จบที่หอปี๋เซิ่งทั้งนั้น
และสวีซูผิงเองก็ได้ยินเกี่ยวกับอาหารอร่อยในหอปี๋เซิ่งมาเป็นเวลานาน ตัวเขาก็อยากจะลองมานานแล้ว
สวีซูผิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “คุณชายอี้ไม่ต้องเกรงใจ ท่านรีบไปทำธุระของท่านเถิด”
ที่จริงในใจของเขายังมีประโยคที่ยังไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือ หากต้องการขอบคุณข้า ในวันที่หอปี๋เซิ่งเปิดกิจการ เจ้าอย่าลืมส่งบัตรเชิญมาให้ข้าสักใบแล้วกัน
อี้กุยเป็นคนมีน้ำใจยิ่งนัก “หลังจากข้าปรึกษากับท่านปู่น้อยเรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งคนไปแจ้งให้ใต้เท้าสวีได้รับทราบ และหวังว่าท่านจะมีเวลาว่างมาพบกัน”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ เมื่อถึงเวลาข้าจะให้คนส่งบัตรเชิญไปให้เจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็มาด้วยแล้วกัน
สวีซูผิงยิ้มอย่างหน้าชื่นใจบาน “เรื่องยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ข้าไม่มีทางพลาดเป็นแน่ เช่นนั้นก็ขอขอบคุณใต้เท้าเซียวและคุณชายอี้ไว้ล่วงหน้า”
เปิดกิจการหอปี๋เซิ่ง ไม่เพียงแค่มีอาหารมื้อใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องมากมายให้ได้รับฟัง เรื่องที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ มีหรือที่สวีซูผิงจะไม่สนใจ?
อี้กุยตอบ “ถึงเวลานั้นก็ยินดีต้อนรับใต้เท้าสวีเป็นอย่างสูง”
ทั้งสองคนบอกลากันอย่างสุภาพ เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง อี้กุยก็หันหลังและเดินจากไป
เพื่อที่จะกลับไปยังศาลาคุนหวู่โดยเร็วที่สุด อี้กุยยอมทิ้งรถม้าไว้ที่นี่ และขี่ม้าออกไปเท่านั้น
ระหว่างทางที่เขาควบม้า ใช้เวลาประมาณครึ่งก้านธูปเขาก็กลับไปถึงศาลาคุนหวู่
เมื่อลงจากม้า อี้กุยก็รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องทางปีกตะวันตกทันที
เห็นท่าทางที่รีบร้อนของเขา เซียวเฉวียนก็อดที่จะถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ “มีเรื่องอะไรถึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้?”
ปกติแล้วคุณชายอี้เป็นคนอ่อนโยนราวกับหยก เวลานี้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดง แม้แต่ลมหายใจก็แปรปรวน ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะหลบหนีเข้ามาจากด้านนอก
อี้กุยสงบสติอารมณ์พร้อมกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่รีบกลับมาเฉยๆ”
เซียวเฉวียนขมวดคิ้ว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้านั้นรีบเดินทางกลับมา แต่เหตุใดเจ้าถึงต้องรีบถึงเพียงนี้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...