ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1980

สรุปบท บทที่ 1980 ช่างโชคดีเหลือเกิน: ซูเปอร์ลูกเขย

บทที่ 1980 ช่างโชคดีเหลือเกิน – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย

ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1980 ช่างโชคดีเหลือเกิน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ที่รีบร้อนถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เพื่อใช้เวลาที่เหลือในการแจ้งให้คนที่ควรมาร่วมงานได้รับรู้

ตอนแรกก็เป็นเช่นนี้ หากคิดจากมุมนี้แล้ว เช่นนั้นคงเป็นเซียวเฉวียนเองที่คิดลึกไม่เพียงพอ และโทษว่าอี้กุยนั้นไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของตนเองได้

แต่เซียวเฉวียนได้เทศนาครั้งใหญ่ใส่เซียวเฉวียนไปแล้ว คำพูดที่กล่าวออกไปก็เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว มันไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ ต่อให้ย้อนคืนกลับมาได้ เซียวเฉวียนก็ไม่คิดที่จะเอามันย้อนคืนกลับมา

เกิดความผิดพลาดขึ้นก็ไม่เห็นจะเป็นไร เซียวเฉวียนก็แค่ทำเป็นไรรู้เรื่องก็หมดปัญหาแล้ว

ใบหน้าของเขาดูตึงเครียดเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำธุระของเจ้าเสียเถิด”

อี้กุยตอบรับกลับมา “ขอรับ ท่านปู่น้อยพักผ่อนให้เต็มที่”

เมื่อเดินถึงหน้าประตู จู่ๆ อี้กุยก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป

เซียวเฉวียนเพิ่งจะหลับตาลง ทำการฝึกฝนทางด้านจิตใจกับผนึกจูเสินต่อไป เห็นอี้กุยเดินกลับเข้ามา เขาก็ยกเปลือกตาของเขาขึ้น มองไปที่อี้กุยพร้อมกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”

อี้กุยนั่งลง “ท่านปู่น้อย ใต้เท้าสวีไม่เพียงรู้ว่าท่านกลับมายังเมืองหลวงแล้วเท่านั้น แต่เขายังรู้อีกว่าท่านพักอยู่ที่ศาลาคุนหวู่”

แม้แต่เรื่องที่เซียวเฉวียนได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้สวีซูผิงเองก็รู้แล้ว

เรื่องพวกนี้ อี้กุยเองก็ไม่ได้อยากบอกกับสวีซูผิง

แต่ช่วยไม่ได้ การคาดเดาของสวีซูผิงนั้นแม่นยำมาก เขาสามารถคาดเดาได้ด้วยตัวเอง

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อี้กุยพูดออกไปเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้การคาดเดาของสวีซูผิงนั้นสมบูรณ์แบบ

เนื่องจากเซียวเฉวียนบอกว่าย่าเหยียนมีความสามารถในการอ่านเสียงหัวใจ หากย่าเหยียนมาหาสวีซูผิงที่นี่ การคาดเดาของสวีซูผิงในสายตาของนาง มันก็ไม่ต่างอะไรกับการพิสูจน์ความจริง

ดังนั้น ไม่สู้อี้กุยบอกความจริงกับสวีซูผิง จากนั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับย่าเหยียนแก่เขา เมื่อสวีซูผิงได้เผชิญหน้ากับย่าเหยียน เขาจะได้หลบหลีกได้ทันเวลา

คนแบบนี้ อี้กุยและสวีซูผิงไม่อาจรุกรานได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ซ่อนตัว

อี้กุยกล่าวว่า “ท่านปู่น้อยไม่ตำหนิข้าที่บอกความจริงเรื่องนี้กับใต้เท้าสวีใช่หรือไม่?”

จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?

ความคิดและการกระทำของอี้กุย ทุกอย่างล้วนอยู่บนเหตุผล ก็เหมือนกับที่เขาพูด สวีซูผิงคาดเดาเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อสวีซูผิง เช่นนั้นก็ไม่ควรปิดบังความจริงกับสวีซูผิง

เซียวเฉวียนยิ้มออกมา “แน่นอนว่าไม่”

อย่างไรก็ตาม เซียวเฉวียนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าเหตุใดสวีซูผิงถึงคาดเดาได้แม่นยำถึงเพียงนี้

ดูเหมือนว่าผู้ที่สามารถเป็นจอหงวนได้ สติปัญญาของพวกเขาจะไม่ธรรมดา

และสวีซูผิงก็ไม่ปล่อยให้ความสะดวกสบายที่อยู่ตรงหน้าบดบังความฉลาดของเขา

รู้จักสวีซูผิงมานานถึงเพียงนี้แล้ว วันนี้เซียวเฉวียนเองก็เพิ่งรู้ว่าสวีซูผิงฉลาดถึงเพียงนี้

ให้เขาเป็นรัฐมนตรีการคลัง ตอนแรกเซียวเฉวียนรู้สึกว่าฮ่องเต้นั้นปิดผนึกความสามารถของเขาไว้ วันนี้เมื่อได้เห็น ความคิดดังกล่าวของเซียวเฉวียนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

รอให้บาดแผลของเขาหายดี หลังจากที่เขาสามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้ตามปกติ เขาจะต้องกล่าวชมเฉยสวีซูผิงต่อหน้าฮ่องเต้ ผลักดันให้ฮ่องเต้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นให้กับสวีซูผิงเป็นแน่

คนที่มีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ ให้เป็นแค่รัฐมนตรีการคลังก็มีแต่ทำให้สูญเสียพรสวรรค์ไปโดยเปล่าประโยชน์

เซียวเฉวียนต้องการให้สวีซูผิงได้รู้ว่า ราคาของการแสดงความฉลาดต่อหน้าเซียวเฉวียนนั้น มันแลกมาด้วยความสะดวกสบายตลอดชีวิตของเขา

ฮ่าฮ่าฮ่า!

เยี่ยมจริงๆ การที่ค้นพบผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สามารถใช้งานได้เพิ่มมาอีกคนเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

แต่ก็ไม่รู้ว่า เมื่อสวีซูผิงรู้ว่าตนเองถูกโยกย้ายตำแหน่งเพราะคำพูดของเซียวเฉวียน เขาจะมีความรู้สึกเช่นไร?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของเซียวเฉวียนก็ยกขึ้นอย่างภาคภูมิใจโดยไม่รู้ตัว อี้กุยเพิ่งจะรับรู้ถึงรอยยิ้มของเซียวเฉวียน เมื่อได้เห็นเช่นนั้น อี้กุยก็ขนลุกไปทั่วร่างกาย

เขารู้สึกว่า รอยยิ้มดังกล่าวของเซียวเฉวียนนั้นแสดงถึงเจตนาร้าย เขาน่าจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่

พูดง่ายๆ ก็คือ อี้กุยไม่อยากเป็นขุนนาง

เขากลัวว่าเซียวเฉวียนกำลังมีความคิดเช่นนี้กับตัวเขาอยู่ เขาจึงรีบเอ่ยปากออกมาว่า “ท่านปู่น้อย ข้าขอตัวไปทำหน้าที่ของข้าก่อน”

แววตาคู่นั้นของเซียวเฉวียนเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิ “อ่า ไปเถอะ”

ในฐานะที่เซียวเฉวียนทำงานอยู่ในราชสำนัก แน่นอนว่าเขารู้ว่าราชสำนักนั้นแปดเปื้อนเพียงใด แม้ว่าอี้กุยจะมีพรสวรรค์ทางด้านการค้าขาย หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้อี้กุยจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่เซียวเฉวียนก็ไม่อยากให้เขาเข้าไปแปดเปื้อนในราชสำนัก

เนื่องจากอี้กุยเห็นเซียวเฉวียนเป็นญาติจากใจจริง และยังเรียกเขาว่าท่านปู่น้อย

และเขาก็ยังเป็นลูกหลานของอี้อู๋หลี่ อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนก็ควรจะดูแลเขา แม้ว่าไม่สามารถทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นกว่าแต่ก่อนได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องเขาให้อยู่ในสภาพเหมือนกับที่เคยเป็น

ให้คิดเสียว่าเซียวเฉวียนกำลังถือหางเขาอยู่แล้วกัน

นอกจากนี้อี้กุยไม่ได้ใช้วาทศิลป์เก่งกาจเท่าสวีซูผิง สวีซูผิงสามารถมีชีวิตที่ดีในยุคสมัยของเว่ยเชียนชิวได้ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีความสามารถ

ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงไม่กังวลเลยว่าสวีซูผิงจะสามารถรับมือกับตาแก่หัวโบราณในราชสำนักเหล่านั้นได้หรือไม่

ตาแก่หัวโบราณเหล่านั้นเองก็ต้องการที่จะประลองฝีมือกับคนอย่างสวีซูผิงเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จะช่วยทำให้ราชสำนักมีสีสันยิ่งขึ้น

โชคดีที่อี้กุยวิ่งเร็วเพียงพอ ไม่อย่างนั้นหากเขาได้เห็นท่าทางของเซียวเฉวียนในเวลานี้ ด้วยหัวใจที่มีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน บางทีเขาอาจจะไม่กล้าแสดงความฉลาดออกมาต่อหน้าเซียวเฉวียนอีกเลยก็เป็นได้

ส่วนสวีซูผิง ราคาที่ต้องจ่ายในครั้งนี้นั้นสูงมากเลยจริงๆ

หลังจากที่อี้กุยออกมาจากห้องทางปีกตะวันตก เขาก็อดไม่ได้ที่จะเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่ไม่ได้มีอยู่จริง ในใจคิดว่า โชคดีที่ตนเองวิ่งเร็ว โชคดีที่ตนเองเป็นหลานชายของเซียวเฉวียน ไม่อย่างนั้นตนเองคงถูกเซียวเฉวียน “วางแผนการ” ไปตั้งนานแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกขอบคุณอี้อู๋หลี่ที่รับเซียวเฉวียนเข้ามาเป็นญาติตระกูลอี้ของพวกเขา

มันช่างโชคดีเหลือเกิน! 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย