ความคิดในใจของจ้าวกาง ยายเหยียนจับฟังได้ไม่พลาดแม้แต่คำเดียว
บอกได้ว่าจ้าวกางเป็นคนช่างคิดรอบคอบจริงๆ
และสิ่งที่เขาคิดอยู่นั้นก็คือความเป็นจริงแท้ๆ
ในเมื่อชาวบ้านที่นี่มีความประสงค์จะเข้าร่วมสำนักหมิงเซียน ในอนาคตพวกเขาฝึกวิชาสำเร็จ สักวันหนึ่งพวกเขาคงต้องออกไปทำภารกิจสักวัน ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็ต้องรับรู้ถึงภัยพิบัติของสำนักหมิงเซียนในครั้งนั้น
ดังนั้น ยายเหยียนจึงคิดว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง
นางกล่าวอย่างใจเย็น "พูดตามตรง สำนักหมิงเซียนได้ประสบความพินาศมาจริง แต่เจ้าสำนักอย่างข้าสามารถรับพวกเจ้าเข้ามาอยู่ในสำนักได้ ก็จะแก้ปัญหาทุกอย่างให้กับพวกเจ้าอย่างแน่นอน"
“ดังนั้น พวกเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
ขอให้พวกเขาไม่ออกไปข้างนอก ไม่ให้คนภายนอกรู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้ ก็เท่ากับช่วยเหลือยายเหยียนอย่างมากแล้ว
แน่นอน ก่อนที่พวกเขายังไม่สมยอมด้วยความจริงใจ ยายเหยียนก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาติดต่อกับคนภายนอกอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวกางพยักหน้าพลางครุ่นคิด
ในเวลานี้ ผู้เฒ่าจางถามขึ้นมาอีกว่า "ข้าได้ยินมาว่า มีคนชื่อเซียวเฉวียนซึ่งเป็นคู่อริของสำนักหมิงเซียน และเขาก็เคยมาที่นี่ด้วย"
ก็คือจะบอกว่า เซียวเฉวียนรู้จักสถานที่ใต้หน้าผาแห่งนี้ เขาจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ ?
โดยทั่วไปแล้วคนอื่นไม่น่ารู้เรื่องมีสถานที่แห่งนี้ ถึงจะรู้ พวกเขาก็จะไม่ทำอะไร อย่างมากก็แค่เอาไปซุบซิบกัน
แต่เซียวเฉวียนเป็นคู่อริของสำนักหมิงเซียน เขารู้ก็อีกเรื่องหนึ่งแล้ว พูดอย่างไม่เกรงใจ เซียวเฉวียนโค่นหมิงเซียนครั้งหนึ่งได้ เขาก็โค่นครั้งที่สองได้
ยายเหยียนกล่าวอย่างมั่นเหมาะว่า "เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เซียวเฉวียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าสำนักอย่างข้า"
ครั้งก่อนที่สำนักหมิงเซียนถูกเซียวเฉวียนทำลายไปได้ เป็นเพราะตอนนั้นยายเหยียนไม่ได้อยู่ในสำนักหมิงเซียน จึงให้เซียวเฉวียนฉวยโอกาสไปได้
ในความเป็นจริง มีสาเหตุประการที่สองที่ยายเหยียนไม่อาจพูดต่อหน้าผู้คนได้
ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนกำลังสืบค้นเรื่องลักแก่นเลือดระหว่างคิ้วของทัพตระกูลเซียว ดังนั้น เพื่ออำพรางกำลังและตัวตนของนางเอง แม้นางจะอยู่บนเขาหมิงเซียน นางก็ไม่ออกหน้าสู้กับเซียวเฉวียน ยอมให้เซียวเฉวียนเอาเปรียบไป
เขาหมิงเซียนถูกไฟเผาวอดไป นางก็หาสถานที่อื่นทำเป็นฐานของสำนักหมิงเซียนใหม่ก็จบ
สำนักหมิงเซียนถูกโค่นไป นางก็แค่สร้างขึ้นมาใหม่
ไม่ถึงยามจำเป็นจริงๆ ยายเหยียนไม่อยากจะเปิดเผยกำลังและฐานะของนาง
ได้ยินว่าเซียวเฉวียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยายเหยียน ทุกคนก็โล่งอกไป
ยายเหยียนถือจังหวะขยิบตาให้อาจ้าน ส่งสัญญาณให้อาจ้านน้ำขึ้นให้รีบตัก สรุปเรื่องนี้ให้สำเร็จ
อาจ้านเข้าใจจึงกล่าวอย่างนิ่งสงบ "พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านว่ายังไง ?"
พวกท่านตกลงจะเข้าร่วมสำนักหมิงเซียนใช่ไหม ?
มาถึงจุดนี้ ก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ชาวบ้านจะต้องทำการตัดสินใจ
แม้ว่าชาวบ้านจะรับรู้เกี่ยวกับสำนักหมิงเซียนแล้ว ทั้งมีความสนใจ แต่เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทุกคนยังต้องปรึกษาหารือกันอีกนิด
ดังนั้น ทุกคนต่างก็มองกันไปมองกันมา กระซิบกันไปกระซิบกันมา
ถึงอย่างไร ความหวาดกลัวต่อพวกยายเหยียนสามคนบนใบหน้าของทุกคนได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อเห็นสภาพ ทั้งสามคนก็มีคำตอบในใจแล้ว
ที่หอคุนหวูในเมืองหลวง
หลังจากที่อี้กุยสั่งการลงไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่สร้างความสนใจของคนรับใช้มากเกินไป แม้อี้กุยจะไม่มีอะไรทำ เขาก็ไม่ได้ไปที่เรือนข้างตะวันตก แต่กลับไปอยู่ที่ห้องของเขาเอง
ในเรือนข้างตะวันตก เซียวเฉวียนก็ยังใช้ความพยายามฝึกฝนพลังแห่งความคิดของเขาอยู่
ในขณะที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับการคำนวณตัวเลขทางปาก เขาสังเกตเห็นมีเงาร่างเล็กๆ แวบหนึ่งผ่านไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...