ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1988

สรุปบท บทที่ 1988 ทุกคนยอมจำนน: ซูเปอร์ลูกเขย

บทที่ 1988 ทุกคนยอมจำนน – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย

ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1988 ทุกคนยอมจำนน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เป็นอย่างนั้นจริงๆ หากพระเจ้าไม่ช่วยเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คงทำอะไรมันไม่ได้

เสียงคำรามของสายลมพัดพาร่างของนักปราชญ์ไปด้านหน้าอย่างไม่สมัครใจ

เพื่อไม่ให้ถูกพัดไปตามกระแสลม นักปราชญ์ทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหน้าชั่วคราวเพื่อเพิ่มแรงต้านทานต่อสายลม

เขาทำเช่นนี้ จริงอยู่ว่าเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกลมพัดไปด้านหน้าได้ แต่ปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้นั้นรุนแรงกว่าการถูกพัดพาไปตามพายุทราย!

เนื่องจากเขาหรี่ตาลง การมองเห็นของเขาจึงไม่กว้างนัก ประกอบกับสายลมที่รุนแรงที่ทำให้เขาสูญเสียการรับรู้ ทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีทรายกำลังก่อตัวขึ้นทีละชั้นพร้อมกับสายลมอันรุนแรง

ในตอนที่เขาตอบสนอง ทรายก็ได้ปกคลุมครึ่งหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว

เขาอยากจะยืนขึ้นมา แต่สายลมอันรุนแรงก็ไม่อนุญาต

ดังนั้นเขาทำได้เพียงคลานไปบนพื้นทราย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกฝังอยู่ในทราย

นี่มันสภาพอากาศบ้าอะไร มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก!

นักปราชญ์คลานไปข้างหน้าด้วยกำลังทั้งหมดของเขา แต่ความเร็วของเขาก็ยังสู้สายลมอันรุนแรงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทรายบนร่างกายของเขาจึงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขาหนักขึ้น ยิ่งเขาคลานไปนานเท่าไหร่ ความยากของมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

สายลมปะทะใบหน้าของเขา เม็ดทรายทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด

เขาอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับเพื่อไม่ให้ใบหน้าโดนลม จากนั้นก็เคลื่อนที่ไปด้านหน้าด้วยทั้งสองมือของเขา

แต่ด้วยวิธีนี้ เขาทำได้เพียงไม่ให้เม็ดทรายพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเขาโดยตรงได้เท่านั้น แต่ไม่อาจหยุดเม็ดทรายที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเขาทางอ้อมได้

การทำเช่นนี้มีแต่ทำให้ความเร็วของเขาลดลงเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าร่างของเขากำลังถูกฝังด้วยทรายจำนวนมาก สุดท้ายเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที!

หรือเขาจะต้องเอาชีวิตมาทั้งไว้ที่นี่?

เขายังไม่ได้ฟื้นฟูสำนักหมิงเซียนเลย ยังไม่ได้สังหารเซียวเฉวียนในนามตัวแทนของเทียนเต๋า เขายังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วย่าเหยียนเป็นใครกันแน่ เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!

ดังนั้นนักปราชญ์จึงไม่ยอมแพ้ แม่ว่าจะยากลำบาก แต่เขาก็ยังต่อสู้กับสายลมที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อขยับร่างกายของเขาให้ขึ้นไปด้านบน

หากเซียวเฉวียนได้เห็นเจ้าสำนักหมิงเซียนผู้สง่างาม ตัวแทนแห่งเทียนเต๋าอันสูงส่งต้องมีสภาพที่น่าอับอายอย่างเวลานี้ เขาคงจะพูดกับนักปราชญ์ว่า “การต่อสู้กับผู้คนเป็นการต่อสู้ที่แสนสนุก แต่การต่อสู้กับโชคชะตานั้นสนุกยิ่งกว่า!”

ตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นักปราชญ์จะได้กินอาหาร แค่ไม่ถูกฝังตายอยู่ที่นี่ เท่านี้ก็ถือว่าได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าแล้ว!

ใต้หน้าผา

เหล่าชาวบ้านปรึกษากันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าร่วมสำนักหมิงเซียน

หากพวกเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ทุกคนมีความสุขที่สุดแล้ว

ย่าเหยียนที่อารมณ์เสียเพราะจับเซียวเฉวียนไม่ได้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็ได้ทำเรื่องดีสักเรื่อง ทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก

ในที่สุดนางก็ได้ที่ตั้งสำหรับสำนักหมิงเซียนแล้ว!

จากนั้นนางก็ตะโกนออกมาว่า “อาเล่อ!”

อาเล่อได้ยินเช่นนั้นก็ปรากฏตัวออกมาด้านหน้าของย่าเหยียน พูดด้วยความเคารพ “ท่านผู้นำเหยียน ข้าน้อยอยู่ที่แล้ว!”

อาเล่อคือคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ของพวกเขาทั้งสามคน ดังนั้นย่าเหยียนจึงสั่งออกมาว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อคอยสั่งสอนวิชาต่างๆ ให้ชาวบ้านเหล่านี้”

สั่งสอนวิชาต่างๆ ให้กับชาวบ้าน กังฟูของอาเล่อมีมากมายคงสอนไม่หมด

อาเล่อที่ไม่เข้าใจจึงมองมาที่ย่าเหยียนด้วยความงุนงง “ท่านผู้นำเหยียน เช่นนั้นใครจะเป็นผู้เฝ้าด้านบนของหน้าผา”

จะให้เพิกเฉยต่อเซียวเฉวียนและสัตว์สงครามทั้งสองอย่างนั้นหรือ?

ย่าเหยียนกล่าวออกมาว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีของข้า”

ความหมายของมันก็คือ ข้าบอกให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็แค่ทำมัน

เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องยุ่ง

หรือพูดอีกอย่างก็คือ หากสำนักหมิงเซียนไม่ได้ดีอย่างที่ย่าเหยียนบอกกับพวกเขา พวกชาวบ้านก็ยังมีความคิดที่จะหนีไปจากที่นี่

แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่พวกเขาต้องทำในเวลานี้คือการฝึกฝนและเล่าเรียน

ทุกคนเข้ามามุงรอบอาเล่อและอาเผิง และเริ่มถามคำถาม

ความกังวลของคนส่วนใหญ่ก็คือ เมื่อไหร่สอนคนนี้จะเริ่มทำการสอนพวกเขา

อาเล่อกล่าวว่า “พวกเจ้าไปไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าพวกเจ้าอยากเรียนอะไร”

ทักษะทางการแพทย์มีคนสนใจค่อนข้างมาก ขอแค่มีความจำดีและเป็นคนขยัน แค่นั้นก็สามารถเล่าเรียนมันได้

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฝึกวรยุทธ์

เนื่องจากทุกคนไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่ง บางคนมีโรคติดตัว บางคนมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่ ทำให้ไม่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์

ดังนั้นความหมายของอาเล่อก็คือ เขาอยากให้ชาวบ้านตัดสินใจด้วยสภาพร่างกายของตัวเองเป็นหลักว่าสุดท้ายแล้วเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์หรือไม่?

หากไม่เหมาะ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา สามารถไปเรียนทักษะทางการแพทย์ได้เลย

คำพูดที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนเข้าใจความหมายของอาเล่อ

ดังนั้นคนที่รู้สึกว่าตัวเองเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์ก็ยืนอยู่ด้านหนึ่ง

เวลานี้มีคนถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์พี่อาเล่อ พวกเราเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งงั้นหรือ?”

หากเป็นไปได้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเลือกทั้งสอง

อาเล่อมองมาที่อาเผิง เขาต้องการให้อาเผิงตอบคำถามนี้

อาเผิงกระแอมออกมา จากนั้นกล่าวออกมาว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่ทักษะทางการแพทย์นั้นจำเป็นต้องใช้ความจำสูง และจำเป็นต้องมีใจอดทน”

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ใครก็ตามที่คิดว่าตนเองเข้ากับเงื่อนไขเหล่านั้นก็สามารถเข้ามาเรียนทักษะทางการแพทย์ได้ 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย