ตอน บทที่ 1989 ความหวังที่ไปไม่ถึง จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 1989 ความหวังที่ไปไม่ถึง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลังจากผ่านการพิจารณาตามคำแนะนำดังกล่าวแล้ว คนที่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์และเล่าเรียนทักษะทางการแพทย์ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกเด็ก ผู้หญิง และคนชราที่คิดว่าตนเองไม่สามารถเล่าเรียนอะไรได้เลย
จากนั้นก็มีคนก้าวออกมาจากทั้งสองกลุ่ม “ข้าคิดว่าข้าสามารถเล่าเรียนได้ทั้งสองอย่าง”
เมื่อมีผู้นำก้าวออกมา แน่นอนว่าต้องมีคนตาม
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทั้งหมดได้แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
อาเผิงและอาเล่อพยักหน้า จากนั้นอาเล่อก็กล่าวออกมาว่า “ทุกคนกลับไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย และเลือกสถานที่ที่เหมาะสมกับการเล่าเรียน”
ที่นี่คือดินแดนของพวกเขา ตรงไหนทำประโยชน์อะไรได้บ้าง แน่นอนว่าพวกเขารู้ดีที่สุด
เนื่องจากมีคนเล่าเรียนพร้อมกันเป็นจำนวนมาก สถานที่เล่าเรียนจึงมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ใหญ่บ้านที่พูดน้อยก็เอ่ยปากออกมาว่า “ที่ท้ายหมู่บ้านมีพื้นที่โล่งอยู่ พวกท่านทั้งสองสามารถไปสอนที่นั่นได้”
แต่ว่าที่นั่นเป็นที่โล่งแจ้ง
คนจำนวนมากขนาดนี้ คงทำได้แค่เรียนในที่โล่งแจ้งเท่านั้น
เพราะในหมู่บ้านไม่มีสถานที่ที่สามารถรับรองคนได้มากขนาดนี้
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่อาเล่อและอาเผิงคาดการเอาไว้แล้ว อาเล่อจึงกล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นพวกเรามาสร้างโรงฟางขนาดใหญ่กันเถอะ”
ไม่ต้องดีมาก แค่กันลมกันฝนได้ก็พอแล้ว
คนจำนวนมากขนาดนี้ หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ใช้เวลาไม่นานก็คงสร้างเสร็จ
หากเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง เมื่อแดดแรงก็คงไม่อาจทำการสอนได้ ลมแรงก็สอนไม่ได้ ฝนตกยิ่งเข้าไปกันใหญ่
โรงฟางสามารถป้องกันสภาพอากาศเช่นนั้นได้
พวกชาวบ้านได้ยินอย่างนั้นก็เห็นด้วยไปตามๆ กัน “ตกลง!”
ดังนั้นทุกคนจึงรีบเดินทางไปที่ท้ายหมู่บ้านและสร้างโรงฟางขนาดใหญ่ขึ้นมา
เมืองหลวง ศาลาคุนหวู่
เมืองหลวง ศาลาคุนหวู่
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เซียวเฉวียนจะสามารถไล่เซียวหมิงชิวกลับไปพระราชวังได้ ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ในความสงบสักที
เขาสวดภาวนาในใจ ทางที่ดีที่สุดองค์หญิงต้าถงอย่าให้เซียวหมิงชิวออกมาได้จะดีกว่า
แม้ว่าเซียวหมิงชิวจะมีความสามารถที่น่าทึ่ง แต่นางอยู่ข้างกายขององค์หญิงมาโดยตลอด คิดว่านางจะเชื่อฟังคำพูดขององค์หญิง
หรือพูดอีกอย่างก็คือ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะแนะนำเซียวหมิงชิวได้
และองค์หญิงก็มักจะคิดแทนเซียวเฉวียนอยู่ตลอด นางรู้ว่าเซียวเฉวียนไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงความมีอยู่ของพวกนางสองแม่ลูก และไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเซียวหมิงชิวมีความสามารถที่น่าทึ่งเช่นนี้อยู่ในครอบครอง
หรือก็คือไม่อยากให้อาเล่อสร้างปัญหาให้กับเซียวเฉวียน
ดังนั้นเซียวเฉวียนรู้สึกว่า หากเซียวหมิงชิวบอกองค์หญิงว่านางจะมาอยู่กับเซียวเฉวียน องค์หญิงคงไม่มีทางเห็นด้วยเป็นแน่
ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้เซียวหมิงชิวมาสร้างความวุ่นวายให้กับเซียวเฉวียน
เนื่องจากต่อให้เซียวหมิงชิวมีความสามารถมากแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นแค่เด็กที่อายุได้เพียงหนึ่งขวบ ความคิดของนางยังไม่ละเอียดอ่อนและรอบคอบในทุกด้าน
พูดง่ายๆ ก็คือ นางขาดความรอบคอบในการลงมือทำ และชอบทำอะไรไปโดยประมาท
แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเป็นการสร้างปัญหาให้เซียวเฉวียนอย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้เซียวเฉวียนคิดมากเกินไป นี่เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงครึ่งก้านธูป บรรพชนตัวน้อยอย่างเซียวหมิงชิวก็ปรากฏตัวออกมาด้านหน้าของเซียวเฉวียนด้วยรอยยิ้มอันภาคภูมิใจ ตะโกนออกมาอย่างมีความสุข “ท่านพ่อ! หมิงชิวคุยกับท่านแม่เรียบร้อยแล้ว”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ท่านแม่อนุญาตให้ข้าออกมาแล้ว ดูสิว่าท่านพ่อยังจะอ้างเหตุผลอะไรในการส่งข้ากลับไปยังพระราชวัง
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ยังไม่ทันเข้ามาในห้องของเซียวหมิงชิว อี้กุยก็แอบได้ยินเสียงของตุ๊กตาน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความเร็วของเขา
ในตอนที่ประตูเปิดออก อี้กุยยืนอยู่ด้านหน้าประตู ยังไม่ทันได้เคาะประตู แววตาคู่นั้นของเขาก็จับจ้องไปยังเซียวหมิงชิวที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามของประตูดังกล่าว
อี้กุยอดไม่ได้ที่จะกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ ช่างเป็นตุ๊กตาน้อยที่น่ารักยิ่งนัก!
ในใจเต็มไปด้วยความสุข ทำให้อี้กุยที่เป็นคุณชายผู้พิถีพิถันมาโดยตลอดเดินเข้ามาด้านในโดยลืมเคาะประตู
เมื่อเดินเข้ามาได้ครึ่งทาง เขาก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขากำลังคิดที่จะกลับไปเพื่อเคาะประตู เซียวเฉวียนก็ห้ามเขาเอาไว้ “เข้ามาเถอะ ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองมากขนาดนั้น”
ยิ่งไปกว่านั้น อี้กุยเองก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้ว หากให้เขาเดินกลับไปก็คงไม่มีประโยชน์
อี้กุยอดไม่ได้ที่จะมองมาที่เซียวเฉวียนด้วยความเขินอาย เขาอธิบายออกมาว่า “เมื่อครู่ข้าหุนหันพลันแล่นเกินไป จึงลืมเรื่องดังกล่าว หวังว่าท่านปู่น้อยจะไม่ถือสา”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของอี้กุยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเซียวหมิงชิว เขาไม่ได้สนใจว่าเซียวเฉวียนจะตอบเขากลับมาว่าอย่างไร แต่กลับถามเซียวเฉวียนออกมาอีกว่า “ท่านปู่น้อย ตุ๊กตาน้อยนั่นเป็นผู้ใดงั้นหรือ?”
จากรูปลักษณ์ของนาง นางดูคล้ายกับเซียวเฉวียนพอสมควร แต่ก็ไม่ได้คล้ายมากนัก
เซียวเฉวียนยิ้มออกมาเบาๆ และถามกลับไปว่า “เจ้าคิดว่านางเป็นใคร?”
เนื่องจากอี้กุยไม่สามารถปิดกั้นเสียงหัวใจของเขาได้ ดังนั้นตัวตนที่แท้จริงของเซียวหมิงชิว เซียวเฉวียนจึงยังไม่สามารถบอกให้อี้กุยรับรู้ได้ชั่วคราว
เห็นได้ชัดว่าอี้กุยเป็นฝ่ายถามออกมาก่อน แต่เซียวเฉวียนก็ถามอี้กุยกลับไป นี่มันน่าเบื่อจะตาย หากเขารู้ว่าตุ๊กตาน้อยผู้นี้เป็นใครตั้งแต่แรก เช่นนั้นเขาจะถามเซียวเฉวียนออกไปเพื่ออะไร?
อี้กุยไม่ได้ตอบคำถามของเซียวเฉวียน แต่เขาพยายามเข้าใกล้เซียวหมิงชิว ย่อตัวลงครึ่งหนึ่งด้านหนาของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “แม่สาวน้อย บอกอาได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวหมิงชิวก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว คิดในใจว่า “อาอะไรของเจ้า หากเรียกตามอาวุโสจริงๆ เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านป้าเลยด้วยซ้ำ”
แต่เซียวหมิงชิวก็รู้ว่าเซียวเฉวียนยังไม่อยากให้อี้กุยรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางชั่วคราว นางจึงกะพริบตาและตอบออกมาด้วยเสียงเด็กว่า “ท่านอา ข้ามีนามว่าหมิงชิว ข้าก็เหมือนกับพี่สาวเซียนชิว เป็นดาบวิญญาณ”
อะไรนะ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...