ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 327

มือของอัครเสนาบดีกำลังสั่นเทาเล็กน้อย

อัครเสนาบดีจูเป็นสุนัขรับใช้ของเว่ยเจียนกั๋วในราชสำนัก อยู่ในตำแหน่งอัครเสนาบดีมานานถึงสิบห้าปีแล้ว

เขาเป็นขุนนางฝ่ายขุนนางฝ่ายบุ๊น ไม่เคยเข้าสู่สนามรบมาก่อน

ในฐานะที่เป็นอัครเสนาบดี เขามักจะจัดการเรื่องราวในเรือนหวงอย่างพิถีพิถันเป็นข้อ ๆ มาโดยตลอด ทว่าหากจะให้สวีซูผิงกล่าวแล้วละก็ ท่านอัครเสนาบดีไม่เคยเข้าสู่สนามรบมาก่อน ความดุร้ายของเซี่ยวเฟิงนั้น ท่านอัครเสนาบดีก็แค่พอได้ยินมาบ้างเท่านั้น ทว่ากลับไม่เคยประสบด้วยตนเองมาก่อน

แก้วในมือของอัครเสนาบดีจูกลับถูกเซี่ยวเฟิงทำจนแตกละเอียด ละเอียดจนภายในหัวใจของเขาแข็งค้างไปในทันที

เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพละกำลังของเซี่ยวเฟิงนั้น มันเหนือขอบเขตของความคาดหมายของอัครเสนาบดีจูไปอยู่มาก

จะเป็นไปได้อย่างไร?

สัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่งจะดุร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?

เมื่อสิบห้าปีก่อนเซี่ยวเฟิงก็เริ่มเข้าร่วมรบราฆ่าฟันศัตรูกับกองทัพตระกูลเซียวแล้ว บัดนี้วันเวลาล่วงเลยไปนานมาเช่นนี้ เซี่ยวเฟิงคงจะมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก

แม้เซี่ยวเฟิงจะมีพละกำลังอยู่นิดหน่อย แต่มันเองก็เป็นเพียงแค่ไม้ใกล้ฝั่งแล้วเช่นเดียวกัน คนในสนามฝึกหลายพันคนกลับเอาสัตว์ป่าแก่ ๆ ไม่ลงเชียวหรือ?

"พวกเจ้ายังจะมามัวยืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้อีก! ยังไม่รับเข้าไปช่วยคน?"

ริมฝีปากของสวีซูผิงมักชมชอบก่นด่าอยู่ตลอดเวลา เกลียดคนขึ้นมาก็ยิ่งเผยร่องรอยบาดแผลออกมามากกว่าเก่า แสร้งปกปิดสักนิดก็ไม่มี "ข้าบอกไปตั้งนานแล้ว ว่าเซี่ยวเฟิงนั่นเป็นสัตว์ที่พวกเขาเหล่านั้นจะต่อกรด้วยได้อย่างนั้นหรือ? พวกท่านดูเข้าสิ ตอนนี้ดีแล้วใช่ไหมเล่า ตอนนี้มาเสียใจในภายหลังก็ไม่มีที่ให้เสียใจแล้ว!"

สีหน้าของอัครเสนาบดีจูเคร่งขรึม อย่างไรเขาเองก็เป็นหัวหน้าของขุนนางร้อยกว่าคนอยู่ดี สวีซูผิงกลับต่อว่าเขาเช่นนี้?

เป็นเพราะว่าสวีซูผิงกระวนกระวาย ฝีปากจึงยิ่งร้ายกาจมากขึ้น เขาชี้นิ้วไปยังข้าราชการคนอื่น ๆ และขุนนางระดับกลางก่อนจะกล่าวว่า "ข้าว่าสมองพวกท่านล้วนไม่กระจ่างกันทั้งสิ้นแล้ว เลอะเลือนแล้ว ด้านในไม่ได้ใส่กาวก็คงเป็นมูล! กลับไม่คิดขัดขวางไม่ให้ท่านอัครเสนาบดีตัดสินใจลงไปเช่นนี้ ปากแต่ละปากก็ทำเป็นแต่เลียแข้งเลียขา!"

"ดูสิ ๆ ดู ๆ สีหน้าของพวกท่านล้วนน่าอับอายกันไปหมดแล้ว! ถุย ๆ ๆ! สวรรค์! ที่นี่จะต้องตายกันอย่างน่าอนาถเป็นแน่! ยังจะเป็นพระราชบุตรเขยกันอีก กระทั่งชีวิตก็เกรงว่าจะไม่เหลือกันแล้ว!"

เหล่าขุนนางต่างก็ถูกต่อว่าจนไม่กล้าส่งเสียงคัดค้านกันทั้งสิ้น จ้าวจินไหลก็ยิ่งมีสีหน้าซีดเผือดกันมากขึ้นเข้าไปกันใหญ่ ร่างทั้งร่างชาวูบวาบไปหมด ไม่...คงจะไม่ใช่...

คำพูดของสวีซูผิง พูดต่อว่าจนสมองของข้าราชการขุนนางทุกคนดังวิ้ง ๆ ไปหมดแล้ว พวกเขาเองก็ไม่กล้าบันดาลโทสะต่อสวีซูผิงด้วยเช่นเดียวกัน อัครเสนาบดีจูกล่าวด้วยโทสะว่า "พอแล้ว! ตัวข้าอัครเสนาบดีอยู่ที่นี่! เซี่ยวเฟิงจะกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้อย่างไร!"

"ทหาร! ตามข้าเข้าไปในสนามฝึก!"

เมื่ออัครเสนาบดีจูออกคำสั่ง เหล่าขันทีและองครักษ์ต่างก็เริ่มเตรียมตัวกันด้วยอาการสั่นเทา

ดวงตาแก่ชราทั้งสองข้างของอัครเสนาบดีจูปรายตามองไปยังสิ่งของที่ไม่ได้โดดเด่นในกลุ่มนี้ กล่าวว่า "ต่งจัว!"

ต่งจัว ผู้อารักขาของอัครเสนาบดีจู ติดตามอัครเสนาบดีมานานหลายปีแล้ว

ก่อนหน้านี้ที่ต้าเว่ย ผู้อารักขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือหลี่มู่ อันดับสองคือโจโฉแห่งรัฐไป๋ลู่ที่สามารถมีชื่อเสียงทัดเทียมกับหลี่มู่ได้ ส่วนต่งจัวของอัครเสนาบดีจูนั้น ทั้งก็สามารถจัดอันดับอยู่ในลำดับที่สามด้วยเช่นเดียวกัน

ต่งจัวเป็นคนดุที่โหดร้าย อุปนิสัยดุร้ายรุนแรงป่าเถื่อน รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ยามต่อสู้ก็ยิ่งโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่า

เขาเป็นคนที่มีพละกำลังไม่ขาดแคลน กำลังแขนเหนือคน รูปร่างโค้งงอนเป็นสัดส่วน ในช่วงเวลาคึกคะนองก็สามารถยิงเกาทัณฑ์ได้ทั้งซ้ายขวา

อาวุธที่ต่งจัวในเป็นประจำนั้น หลัก ๆ คือเกาทัณฑ์ อาวุธช่วยเหลือรองลงมาคือกระบี่หนัก ๆ หนึ่งเล่ม

ในฐานะที่ต่งจัวเป็นผู้อารักขาที่ทำสงครามดุเดือดโหดร้าย มักจะซ่อนตัวอารักขาอัครเสนาบดีอย่างลับ ๆ อยู่เสมอ การสะกดรอยตามนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก ไม่มีการร้องเรียกจากท่านอัครเสนาบดี ต่งจัวจะไม่ปรากฏตัวในสายตาของผู้ใดอย่างเด็ดขาด

ในหนนี้ ต่งจัวยังคงทำให้ทุกคนสามารถสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไปได้เช่นเดียว

ผู้อารักขาคนอื่น ๆ แสงสว่างในนัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความคึกคัก แม้ไป๋ฉี่จะเป็นผู้อารักขาที่ได้เลื่อนขั้นเป็นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีสายตาดุร้ายเหี้ยมโหดเหมือนดั่งต่งจัวเช่นเดียวกัน

เซียวเฉวียนในฐานะที่เป็นเทพกวีที่น่าอัศจรรย์ ไป๋ฉี่หยิบยืมดวงตามองโลกด้วยปัญญาของเซียวเฉวียนมา ไป๋ฉี่จึงสามารถกลายเป็นผู้อารักขาที่มากความสามารถหนึ่งในนั้นได้ ในส่วนนี้คุณูปการของเซียวเฉวียนนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด

ส่วนต่งจัวนั้นกลับเป็นชาวยุทธ์แท้โดยกำเนิดผู้หนึ่ง ไม่รู้หนังสือ รากจิตอักษรแม้แต่ครึ่งเดียวก็ไม่มี ถือเป็นอาวุธเนื้อที่มีชีวิตที่แสนจะหายากของต้าเว่ย

บทกวีของปัญญาชน กระทั่งความสามารถของกวีสมุทรคุนหลุน ต่อหน้าชาวยุทธ์แท้กลับใช้การได้เพียงครึ่งหนึ่งเล็ก ๆ เท่านั้น

หากไป๋ฉี่ใช้สามกระบวนท่าสังหารผู้อารักขาคนหนึ่งตาย ยามที่สังหารชาวยุทธ์แท้นั้น เกรงว่าจะต้องใช้สามสิบกระบวนท่าแล้ว

ยอมเมื่อทำศึก สามสิบกระบวนท่ามันนานมาเกินไปแล้ว ยิ่งเวลาทำศึกนานมากเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งเผยจุดอ่อนออกมาได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น ไป๋ฉี่อาจมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกชาวยุทธ์แท้สังหารจนตาย

ดังนั้นแล้ว บัดนี้ไป๋ฉี่กับต่งจัวนั้นไม่เหมือนกัน ดวงตาของไป๋ฉี่สว่างมากกว่าเป็นแสงแห่งทางสายกลาง

ส่วนต่งจัวกลับเต็มไปด้วยสีสันแห่งความโหดร้าย เป็นเพราะว่าในทุกก้อนเนื้อบนร่างกายกำยำแข็งแกร่งของเขานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการชกต่อยตบตีที่ได้มาทั้งสิ้น

มือทั้งสองข้างของต่งจัวเต็มไปด้วยโลหิตสด ๆ ของปัญญาชนนับไม่ถ้วน

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วปัญญาชนในราชสำนักจึงมีตราประทับเหวินอิ้นกดทับเอาไว้ ในยามปกติยังมีชาวยุทธ์แท้อย่างต่งจัวเช่นนี้ที่สามารถกดทับปัญญาชนให้ตายได้เพิ่มเข้าไปอีก

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อัครเสนาบดีจูเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้มาโดยตลอด

ต่อให้เซี่ยวเฟิงจะร้ายกาจสักเพียงใด ต่อหน้าพละกำลังอันไร้ที่ติของต่งจัวแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เดรัจฉานธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งก็เท่านั้นเช่นเดียวกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย