อ่านสรุป บทที่ 369 สูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิ จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 369 สูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
“นายท่าน หากส่งเซี่ยวเฟิงไปยังจวนเจียนกั๋ว ท่านต้องกลายเป็นคนผิดในสายตาคนอื่น ถึงขั้นเสื่อมเสียชื่อเสียงเลยก็ได้”
ไป๋ฉีขมวดคิ้วแน่น นายท่านคิดจะทำก็ทำทันทีทันใด กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องนี้จะร้ายแรงแค่ไหนบ้างหรือ!
หากส่งเซี่ยวเฟิงออกไป ทุกคนต้องคิดแน่นอนว่าเซียวเฉวียนเลือกเดินทางผิด ไม่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ยอมเป็นสุนัขรับใช้ของเว่ยเจียนกั๋วเหมือนกับคนอื่น
ก่อนหน้านั้นภาพลักษณ์ของเซียวเฉวียนสะอาดมาก เขาไม่ได้รวบรวมคนชั่วเพื่อการส่วนตัว ไม่ยอมแพ้ต่อผู้มีอำนาจ ไม่ยอมรับชะตากรรม ตอนนี้ล่ะ เซียวเฉวียนแทบจะประจบสอพลอเว่ยเจียนกั๋ว นี่คือเรื่องที่น่าดูหมิ่นที่สุด!
ทันทีที่เซียวเฉวียนได้ยินประโยคนี้ ก็วดมือทุบไป๋ฉีฉากหนึ่ง “ประจบสอพลอ!ประจบสอพลอ!ข้าว่าไม่ใช่คนอื่นที่พูดเช่นนี้ เจ้าต่างหากที่คิดเช่นนี้!”
ไป๋ฉีกุมหัวก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “นายท่าน จะโค่นเว่ยเจียนกั๋ว ใช้วิธีอื่นก็ได้ ใช้วิธีที่ดีต่อตัวเองไม่ได้หรือขอรับ?”
ถ้าเซียวเฉวียนใช้เคล็ดวิชานี้จริง ๆ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เกรงว่าแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวก็คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!
“ไป๋ฉี” เซียวเฉวียนเพิ่งตระหนักได้ว่าคนยุคปัจจุบันและยุคโบราณยังมีความแตกต่างกันมากโข ไป๋ฉีเข้าใจเจตนารมณ์ดี เซียวเฉวียนก็ย่อมเข้าใจเช่นกัน “ลูกผู้ชายต้องนอบน้อมถ่อมตน โลกใบนี้ หากจะฆ่าศัตรู การต่อสู้ไม่ใช่หนทางเดียว การต่อสู้เพื่อปฏิวัติครั้งใหญ่จำเป็นต้องมีคนแอบแฝงและสายลับด้วย”
“ทำตัวเป็นมิตรกับศัตรูแล้วค่อยฆ่าศัตรูยังดูมีประโยชน์มากกว่าการเผชิญหน้าตรง ๆ เสียอีก”
“แต่คนนอกไม่รู้ว่าท่านเป็นสายแอบแฝงและสายลับ....” ไป๋ฉีขมวดคิ้วแน่น
“ฮ่องเต้ทรงทราบก็พอแล้ว”
“ขอรับ” ไป๋ฉีตอบรับด้วยความอึดอัด เซียวเฉวียนตบศีรษะของเขา “เจ้าโง่!ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เจ้าเป็นเทพแห่งความตายได้อย่างไรกัน!”
“นายท่าน.....ข้าไม่ใช่เทพแห่งความตาย ไม่ใช่เทพแห่งสงครามอย่างที่ท่านกล่าวไว้ด้วย”
“เออ โตแล้วปากแข็งอีกนะ?” เซียวเฉวียนยกยิ้ม “ไป ไปส่งซี่ยวเฟิงเสีย!”
“เอ่อ.....” ไป๋ฉีในวัยแค่นี้ มักจะแสดงความไม่พอใจ โกรธและมีความสุขออกมาทางสีหน้าเสมอ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายท่าน แต่กลับพาเซี่ยวเฟิงไปส่งอย่างว่าง่าย
ตั้งแต่ต้นจนจบ องค์หญิงไม่กล่าวสิ่งใดสักคำ เซียวเฉวียนพูดสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น นางคอยสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ เสมอ
“องค์หญิง เจ้าคอยดู ส่งเซี่ยวเฟิงไปเช่นนี้ จวนเจียนกั๋วจะปั่นป่วนหรือไม่? มันไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้แน่ ดีใจไหม?”
เซียวเฉวียนโอบเอวของนาง องค์หญิงพยักหน้า และยกยิ้มอย่างอบอุ่น “ดีใจ”
เซียวเฉวียนมักคลี่ยิ้มเวลาที่อยู่ต่อหน้าพวกนาง เหมือนจะดีใจ แต่องค์หญิงรู้ดีว่าทันทีที่ปีศาจกวีตาย เซียวเฉวียนแทบไม่แตะข้าวสักคำ
คนข้างนอกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเซียวเฉวียนจิตใจโหดเหี้ยม ไม่มีน้ำตาสักหยด ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีแค่องค์หญิงที่รู้ดีว่าเซียวเฉวียนมักจะเฝ้าฝันถึงเสมอทุกคืนวัน เขามักจะตื่นกลางดึก ไม่ใช่เพราะรำพึงถึงชื่อของฉินปาฟาง แต่เป็นชื่อของเหวินฮั่นไม่ก็ปีศาจกวี
หากองค์หญิงสะดุ้งตื่น เขาก็ได้แค่ยิ้ม และบอกเสียงเรียบว่าฝันร้าย
หากองค์หญิงแกล้งทำเป็นหลับต่อ เขาได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่ในความมืด ขามักจะเสียใจกับอะไรบางอย่าง วางแผนบางอย่าง เตรียมการบางอย่าง
วันนี้เซียวเฉวียนเหมือนจะดีใจ ความจริงแล้วที่เขาส่งเซี่ยวเฟิงไปยังจวนเจียนกั๋วเป็นการตัดสินใจที่เขาคิดแล้วคิดอีกหลายครั้ง
การตายของอาวุโส เซียวเฉวียนไม่เคยลืม
แค่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว เซียวเฉวียนไม่ได้เจ็บปวดและโกรธแต่อย่างใด
ความเสียใจและความโกรธ ยามสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายในทุกคืนวันได้ก่อตัวขึ้นเป็นอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ฆ่าเว่ยเจียนกั๋ว!’
ใช้กระบวนท่าที่ต่ำที่สุดฆ่าเขา!
ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงไม่เข้าใจการสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ไป๋ฉีพูดถึงแต่อย่างใด?
ตราบใดที่เซียวเฉวียนส่งเซี่ยวเฟิงออกไป เซียวเฉวียนก็จะกลายเป็นคนทรยศในสายตาของคนทั้งโลก ผิดต่อการเลื่อนขั้นที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้!
แต่ฮ่องเต้กลับตรัสว่า “เจ้าไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำเถอะ ข้าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
“แต่เงื่อนไขคือ ข้าต้องการรัฐไป๋ลู่ เจ้าต้องมอบให้ข้า”
“นั่นนะสิ ๆ ! ฉลอง! เซียวเฉวียนไปเว่ยเจียนกั๋วก็ดี เราอยู่ทางนี้จะได้ลืมตาอ้าปากได้เสียที!”
ลูกหลานตระกูลสูงส่งดื่มกินอยู่ในหอเทียนหมิง แต่กลับยิ่งไร้รสชาติ
พวกขาคยกินอาหารและดื่มสุราของหอปี๋เซิ่งมาแล้ว พบว่าอาหารของโรงเหล้าของเขาจืดชืด น่าเบื่อสุด ๆ
แต่ก่อนคิดว่ารสเหล้าของหอปี๋เซิ่งนั้นเลิศรส แต่พอได้ดื่ม กลับเทียบหอปี๋เซิ่งไม่ได้แต่อย่างใด
ยิ่งพวกเขากินก็ยิ่งไร้รสชาติ จึงเรียกเก็บเงินและจากไป
ลูกหลานตระกูลสูงส่งมาแอ๋ กล่าวลาหอเทียนหมิง ตรียมตัวแยกย้ายกลับ แต่ก็ต้องพบกับใครคนหนึ่งที่ยืนมองหอเทียนหมิงอยู่ข้างล่าง
“ชูโจง?”
คนหล่านี้ห็นเขาแล้วก็มองหน้ากัน ตั้งแต่ที่จูโชงตาย ตระกูลจูต่างก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพราะการพนัน จูโชงเคยชินกับความฟุ้งเฟ้อ บัดนี้กลับเดินมายืมเงินในหองนางโลม
ลูกหลานตระกูลสูงส่งมักจะเคารพคนที่เหนือกว่าแต่ดูถูกคนต่ำกว่า อัครเสนาบดีเมินเฉย แล้วตระกูลจูจะหวังอะไรได้? พอเห็นจูโชงมายืมเงิน ก็รีบหาข้ออ้างทันที
จูโชงไม่ได้ยืมเงินสักแดงเดียว ทำได้แค่จากไป เขาสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ เรื่องนี้เซียวเฉวียนต้องรับผิดชอบ
“คุณชายจู”
เวลานี้มีคนเรียกชื่อเขา จากนั้นก็ยื่นถุงเงินมาตรงหน้าเขา
จูโชงหันกลับไปมองและก็ต้องดีใจ “ท่านอ๋อง?”
“คุณชายจู เซียวเฉวียนอาศัยอยู่ในเว่ยเจียนกั๋ว โอกาสชำระแค้นของเจ้ามาถึงแล้ว”
เว่ยชิงเลิกคิ้ว “มันคืออากสที่สวรรค์ประทานให้เจ้าแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...