ฉินซูโหรวกลับไปครานี้ นางเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน
นางไม่ปริปากเอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว คนในครอบครัวก็จนปัญญาโน้มน้าวใจ
นางเอาแต่ร่ำไห้
ใครมาโน้มน้าวก็เปล่าประโยชน์
แค่ฉินซูโหรวได้ยินคำว่า ‘ลูกเขย’ เพียงสองคำก็ร่ำไห้
ได้ยินฉินหนานท่องบทกวีก็ร่ำไห้
ครั้นเห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ นึกถึงท่าทีรังเกียจอาหารของเซียวเฉวียนก็ร้องไห้ออกมาอีก
ท่านแม่ฉินเห็นบุตรีทำตัวไร้อนาคตเช่นนี้ แต่งงานเป็นหนที่สองก็แล้ว ตั้งครรภ์ก็แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางยังนึกถึงเซียวเฉวียนไร้ประโยชน์ผู้นั้น สิ่งนี้ทำให้นางเป็นกังวลและโกรธเคืองในเวลาเดียวกัน
ฉินซูโหรวไม่ฟังคำพูดโน้มน้าวหรือคัดค้าน ไม่ยอมรับคำปลอบโยน นางเอาแต่มองออกไปด้านนอกหน้าต่างแล้วร้องไห้อย่างเงียบๆ ด้วยความเจ็บปวด ฮือๆ...
ฮือๆๆ...
พวกเจ้าเก้าที่อยู่เฝ้าจวนฉินเห็นสีหน้าของฉินซูโหรวที่กำลังรู้สึกเสียใจกับการยกหินโยนใส่เท้าตนเอง จึงพากันหัวเราะจนปวดท้องไปหมด!
แม่หนูน้อย ดูถูกนายท่านของข้าดีนัก ตอนนี้ต่อให้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้แล้ว!
ฉินซูโหรวยิ่งเจ็บปวดใจ พวกเจ้าเก้ายิ่งหัวเราะเยาะอย่างไร้ความปราณี
บัดนี้ฉินหนานกำลังถือปากกา ฉินซูโหรวก็ยังนึกถึงพู่กันเฉียนคุนของเซียวเฉวียน นางจึงร้องไห้ออกมาอีกยกหนึ่ง
คนในจวนฉินถูกสั่งห้ามมิให้ท่องบทกวีหรือวาดภาพต่อหน้าองค์หญิงเป็นอันขาด ห้ามกินข้าวต่อหน้าองค์หญิงและห้ามเรียกเหลียงหวายโหรวว่าพระราชบุตรเขย
เหลียงไหวโหรวย่อมโกรธเคือง เขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้แต่งงานกับฉินซูโหรว ทั้งยังต้องไปประจบประแจงเพื่อให้ตนเองได้เป็นลูกเขยอย่างไม่ละอาย ผลลัพธ์ที่ได้จวนฉินกลับบอกว่าคำว่า ‘พระราชบุตรเขย’ เป็นของเซียวเฉวียนเท่านั้น?
เหลียงหวายโหรวทั้งอายและโกรธ เขาเป็นที่หนึ่งของขุนนางระดับท้องถิ่น ทั้งยังเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน มีส่วนใดเทียบชั้นกับเซียวเฉวียนไม่ได้
เหลียงหวายโหรวรู้สึกหงุดหงิดกับเซียวเฉวียนอย่างบอกไม่ถูกเพราะความอิจฉาและเกลียดชัง เขาเอาแต่กระซิบข้างหูเว่ยเจียนกั๋วอย่าเอาเป็นเอาตายว่าเซียวเฉวียนไร้มารยาทเพียงใด หยิ่งผยองเพียงใด ทั้งยังพูดอีกว่าเซียวเฉวียนจงใจมาที่จวนเจียนกั๋ว แต่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องยาลูกกลอนที่เซียวเฉวียนกลั่นออกมา
อีกอย่าง หลายวันมานี้จูโชงก็ติดตามพระชายาจูมาเข้าพบท่านป้าผู้นี้ เขาเอาแต่พูดกรอกหูว่าจวนอัครเสนาบดีเลวร้ายมากเพียงใด เซียวเฉวียนทำลายตนเองเช่นนี้จะไม่เก็บกวาดได้เยี่ยงไรกัน
ดังนั้น เว่ยเจียนกั๋วที่ไม่พอใจเซียวเฉวียนจึงเตรียมตัวไปพบเซียวเฉวียนเพราะมิอาจข่มความรู้สึกได้อีกต่อไป
เว่ยเจียนกั๋วไม่ค่อยได้เข้าประชุมราชสำนัก แม้ว่าเซียวเฉวียนจะเข้าประชุมราชสำนัก แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้เจอกัน ทว่าในคิมหันต์ฤดูแต่ละปีราชวงศ์จะมีการจัดกิจกรรมละเล่นน้ำแข็งกันตลอด
การละเล่นน้ำแข็งเคยเป็นที่นิยมในตระกูลของเหล่าทหาร ในยุคหัวเซี่ยมีการใช้กิจกรรมการละเล่นน้ำแข็งเป็นการฝึกซ้อมให้กองทัพทหาร เมื่อมาถึงยุคหลังเป้าหมายในการฝึกซ้อมกองกำลังทหารก็เริ่มลดน้อยลง กลายเป็นความบันเทิงที่ค่อยๆ เกิดขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือการเล่นสเก็ตน้ำแข็งในยุคปัจจุบัน เพียงแต่การละเล่นน้ำแข็งในยุคโบราณนอกจากการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วแล้วยังมีการแย่งลูกบอลบนพื้นน้ำแข็ง ยิงธนูบนพื้นน้ำแข็งและการแข่งท่องบนกวีบนน้ำแข็งด้วย
ในยุคต้าเว่ย มีตำหนักน้ำแข็งโดยเฉพาะหนึ่งแห่ง ชื่อว่าตำหนักไท่เยี่ยซึ่งมีความหรูหราเกินกว่าจะหาสิ่งใดทัดเทียม เป็นสถานที่สำหรับคลายร้อนในช่วงคิมหันต์ฤดูเพื่อร่วมกิจกรรมการละเล่นน้ำแข็ง
ตำหนักไท่เยี่ยตั้งอยู่บนหุบเขาลูกหนึ่ง หุบเขาขนาดมหึมาถูกขุดจนกลายเป็นพื้นที่ว่าง ในนั้นมีก้อนน้ำแข็งถูกเก็บไว้ในช่วงหน้าหนาวทำให้มีความเย็นเฉียบเป็นอย่างยิ่ง คนธรรมดามิกล้าแม้แต่จะไปสถานที่แห่งนี้
คนที่เข้าร่วมการละเล่นน้ำแข็งได้ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ลูกหลานตระกูลชั้นสูงรวมถึงเหล่านางสนมในวัง คนอย่างเซียวเฉวียนเป็นเพียงคางคกที่นั่งอยู่ในกะลาในสายตาของพวกเขา ดังนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางรู้จักการละเล่นน้ำแข็งเป็นแน่
ครั้งนี้ เซียวเฉวียนที่เป็นราชบุตรเขยย่อมต้องเข้าร่วมเป็นแน่
มีตาข่ายขนาดใหญ่ถูกกางออกเพื่อขวางเซียวเฉวียน เว่ยชิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นกำลังมีความสุขอยู่ในสวนหรงหยวน เขาอยากยืมมือของเว่ยเจียนกั๋วเพื่อทำให้เซียวเฉวียนและคนของเขาติดร่างแหไปพร้อมๆ กัน
ทุกคนต่างรอหัวเราะซ้ำเติมเซียวเฉวียน บนพื้นน้ำแข็งลื่นมาก เซียวเฉวียนจะไม่ล้มหน้าคะมำได้หรือ เขาจะสู้กับคนอื่นได้เยี่ยงไร
สู้?
สู้กับมารดาเขาเถิด
เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เซียวเฉวียนมิได้เก็บมาใส่ใจ
วันนี้ เขาถือกระบี่ฉุนจุนครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็เกิดความคิดบางอย่าง
ฉุนจุนไม่ยอมรับเจ้านายมาโดยตลอด คาดว่าคงเป็นเพราะมันคิดว่าตนเองยังมีเจ้านายคนเก่าอยู่
ท่านแม่เซียวเห็นบุตรชายของตนเองไม่ยอมกินข้าวกินปลา วันๆ เอาแต่ทำท่าทางราวกับเป็นคนบ้า หากไม่นั่งเหม่อมองฟ้าก็เอานิ้วจิ้มพื้นดิน
แม่เซียวเกิดความร้อนใจขุดค้นตำราเกี่ยวกับฉุนจุนออกมา หลังจากตามหาอยู่ครู่หนึ่งจึงได้พบว่ากระบี่ฉุนจุนไม่ยอมรับเจ้านายง่ายๆ
กระบี่ฉุนจุนและกระบี่ไท่อาของหลี่มู่ ออกมาจากศาลาคุณอู๋เหมือนกัน
เป็นกระบี่เทพชุดแรกของศาลาคุนหวู่
ปราณวิญญาณกระบี่เหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป เป็นเพราะเหตุนี้พวกมันจึงยอมรับเจ้านายได้เพียงคนเดียวตลอดทั้งชีวิต
ดังนั้น กระบี่ฉุนจุนจึงยอมรับเพียงเซียวเทียน
ส่วนดาบไท่อาก็ยอมรับเพียงหลี่มู่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่มู่ก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าฉุนจุนจะไม่ยอมรับเจ้านายคนใหม่ แต่เขากลับปล่อยให้เซียวเฉวียนครุ่นคิดเกี่ยวกับฉุนจุนได้ทุกวี่ทุกวัน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...