บทที่ 396 สัญญาที่น่าตกใจ – ตอนที่ต้องอ่านของ ซูเปอร์ลูกเขย
ตอนนี้ของ ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายจีนโบราณทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 396 สัญญาที่น่าตกใจ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ภายในพระราชวังฉางหมิงนั้น แสงเทียนอันริบหรี่ พร้อมทั้งท่าทีขันทีหม่าที่อ่านจดหมายของพ่อฉินด้วยความระมัดระวังนั้น
เพียงอ่านจบไปหนึ่งประโยค ก็ลอบมองดูสีหน้าองค์จักรพรรดิหนึ่งที
เมื่ออ่านจบอีกหนึ่งประโยค ก็ชำเลืองดูอีกครู่
เนื้อหาภายในจดหมายนั้น มิได้มีเนื้อหายาวมานัก ความหมายคร่าว ๆ ภายในจดหมายก็คือ เกาะจูเสินในยามนี้เต็มไปด้วยกลุ่มควันไฟปรุงรสอาหาร เซียวเฉวียนใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่ที่นั่น ทุก ๆ วัน เขาจะกินปลาทะเลย่าง ไก่ฟ้าย่างและหอยนางรมย่างทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขยิ่งนัก
ภายในจดหมายยังระบุมาอีกด้วยว่า เซียวเฉวียนกลายเป็นสหายกับเหล่านักโทษบนเกาะไปแล้ว ทั้งยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เสมือนกับว่าเซียวเฉวียนหาได้ถูกเนรเทศออกมาไม่ แต่กำลังออกเดินทางท่องเที่ยวอยู่ต่างหาก
ฟัง ฟังนะ
นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรทำงั้นหรือ?
เมื่อขันทีหม่าอ่านมาถึงตรงนี้ ก็ทำเอาเขาเหงื่อตกไปในทันที เหตุใดใต้เท้าเซียวไปเกาะจูเสินแล้วยังมีความสุขได้อยู่เล่า?
“ไฟ เขาเอาไฟเข้าไปได้อย่างไรกัน?”
จักรพรรดิพลันขมวดคิ้วเป็นปมไปในทันที เป็นไปได้หรือไม่ว่ากองกำลังหยู่หลินจักทำการละเมิดกฎ ทั้งยังทิ้งไฟเอาไว้ให้ที่เกาะจูเสินอีกด้วย?
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กองกำลังหยู่หลินที่คุ้มกันเซียวเฉวียนออกไปนั้น ยังมิกลับมาเมืองหลวงเลย เกรงว่าอีกไม่ถึงสิบวันพวกเขาจะกลับมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
“การเคลื่อนไหวของเทือกเขาคุนหลุน หรือว่าเป็นเพราะไฟของเซียวเฉวียนกัน ถึงแม้ว่ากองทัพหยู่หลินจักทิ้งไฟเอาไว้ให้กับพวกเขา แต่มิใช่มีคนกล่าวว่า ไฟจากด้านนอกมิอาจทำการเผาไหม้เกาะจูเสินไปได้งั้นหรือ?”
จักรพรรดิถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมทั้งพยายามเป็นอย่างมากที่จะระงับอารมณ์และความคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นมาภายในใจของเขา: ต้าเว่ยกำลังจะตกอยู่ในวุ่นวาย เขาเองก็ต้องการเซียวเฉวียนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม วาจาขององค์จักรพรรดิย่อมต้องมีความหนักแน่น เขาเพิ่งจะเอ่ยขับไล่เซียวเฉวียนออกไปได้ไม่นาน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมาให้อภัยเซียวเฉวียนอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“เรือของเว่ยเจียนกั๋วถึงที่ใดแล้ว?”
เป็นครั้งแรกที่ทั้งจักรพรรดิและเว่ยเจียนกั๋วมีเป้าหมายเดียวกันเช่นนี้
พวกเขาทุกคนต่างก็ต้องการให้เซียวเฉวียนกลับมา
เพียงเพื่อออกตามหาเพื่อหาน้ำอมฤตแห่งชีวิต เว่ยเชียนชิวจึงส่งคนออกไปตามหาเซียวเฉวียน เดิมทีฝ่าบาทที่ได้ยินครั้งแรกก็นึกโมโหยิ่งนัก ทว่าในยามนี้พระองค์กลับนึกภาวนาให้เว่ยเชียนชิวเร่งมือขึ้นมา
ขันทีหม่าที่เห็นท่าทีขององค์จักรพรรดิที่เป็นเช่นนี้ เขาล่วงรู้ความในใจของฝ่าบาททั้งหมด แต่ก็มิได้กล่าวออกไป "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานคนของเว่ยเฉียนชิวและท่านอ๋องสิบหกจะไปถึงเกาะจูเสินแล้ว"
"ดี"
จักรพรรดิพยักหน้าลงเล็กน้อย เขาจักไม่ฝากความหวังไว้ที่เว่ยอวี๋อีกต่อไป นั่นเป็นเพราะเว่ยอวี๋ต้องการออกเดินทางรอบโลกไปกับเซียวเฉวียน เขาหาได้ต้องการพาเซียวเฉวียนกลับมาไม่
"หากจดหมายรายงานเรื่องการเคลื่อนไหวในเทือกเขาคุนหลุนมาถึงแล้วไซร้ เจ้ารีบมาแจ้งเจิ้นโดยไว"
"พ่ะย่ะค่ะ."
ขันทีหม่าพยักหน้าลงรับคำ ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่างนั้น เขามิเคยเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของจักรพรรดิมาก่อนเลยแม้แต่น้อย
เขาคิดว่าฝ่าบาทคงกังวลเรื่องของเซียวเฉวียนไปไม่น้อยเลย จึงได้สั่งการข้ารับใช้ให้ไปนำซุปเมล็ดบัวมามอบให้แก่ฝ่าบาท เพื่อคลายความเครียด
ทว่า แท้จริงแล้วฝ่าบาททรงเป็นห่วงต้าเว่ยเสียมากกว่า เขาพลันถอนหายใจออกมายาว ๆ อย่าได้เอ่ยถึงซุปเมล็ดบัวเลย แม้แต่น้ำสักอึกหนึ่งในยามนี้พระองค์ก็หาได้กล้าดื่มไม่
ยามที่เมืองหลวงมิมีเซียวเฉวียนนั้น ย่อมขาดเรื่องราวซุบซิบไปมากมายอย่างแน่นอน
ทว่า เมืองหลวงยังคงเต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ การจากไปของเซียวเฉวียนนั้น ทำให้ผู้คนส่วนมากรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
มีเพียงจวนตระกูลเซียวและศาลาคุนหวู่เท่านั้นที่เงียบสงบเป็นพิเศษ
พวกเขากำลังรอการกลับมาของเซียวเฉวียนอย่างใจจดใจจ่อ
โดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของเทือกเขาคุนหลุนนั้น ทำให้ภายในศาลาคุนหวู่เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
กระบี่ร้อยเล่มร้องกู่ก้อง
นับว่าเป็นอีกครั้งที่กระบี่ร้อยเล่มร้องกู่ก้องกันอีกครั้ง
ครั้งสุดท้ายคือตอนที่ท่านปีศาจกวีสิ้นชีวิต
กระบี่ร้อยเล่มร้องกู่ก้อง จักต้องมีการไว้ทุกข์ครั้งใหญ่อีกครั้ง
อี้กุยถึงกลับมีท่าทีกระสับกระส่ายไปในทันที คนผู้นี้จักต้องเหมือนกับท่านปีศาจกวีอย่างแน่นอนเลย เขาจักต้องเป็นผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเทือกเขาคุนหลุนเป็นแน่
เป็นไปได้ว่า เขาจักต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซียวเฉวียน
หากแต่คลื่นลมภายในใจเมืองหลวงกลับเงียบสงบยิ่งนัก หาได้ยินมีผู้ใดสิ้นใจไปในช่วงนี้ไม่
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับเทือกเขาคุนหลุนอีก นอกจากไป๋ฉี่ที่เป็นผู้อารักขาแล้วไซร้ ก็มีเพียงแต่หลี่มู้เท่านั้น
พวกเขาล้วนแต่สบายดี หาได้มีสิ่งใดผิดปกติไปไม่
“คุณชายขอรับ นั่นเป็นเพราะว่าเซียวเฉวียนเป็นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์ที่มีพรสวรรค์พวกนั้นยังไงล่ะขอรับ”
“เหล่าผู้อารักขาล้วนแต่มีนายของตนเอง หากแต่ผู้ที่เป็นนายใหญ่ที่สุดคือฝ่าบาท เจ้าอย่าได้พูดพล่อย ๆ ” อี้กุยที่ได้ยินเช่นนั้น พลันมีท่าทีผิดปกติไปในทันที "เจ้าได้ยินมาจากผู้ใดกัน?"
ทั้งหมดนี่ล้วนแต่เป็นข่าวลือที่เขาร่ำลือกันไปในตลาด แม้แต่ผู้จัดการร้านที่ชอบเรื่องซุบซิบยังนำมาเล่าต่อว่า "คุณชายขอรับ ในยามนี้ผู้คนที่อยู่ด้านนอก ต่างก็ล่ำลือกันไปว่าเซียวเฉวียนเป็นประมุขแห่งชิงหยวน ทั้งยังมีหัวหน้าเหล่าปัญญาชน เป็นรองหัวหน้ากองราชองครักษ์อีกด้วย ถึงแม้ว่าภายในกองราชองครักษ์จักมีหลี่มู้อยู่ทั้งคน แต่แท้จริงแล้ว ฐานะของหลี่มู้กลับต่ำกว่าเซียวเฉวียน"
“แม้ว่าหลี่มู้เคยเป็นผู้อารักขาให้กับท่านเหวินฮั่น ข้าน้อยได้ยินมาว่า ก่อนที่ท่านเหวินฮั่นจักสิ้นใจไปนั้น ได้ขอร้องให้หลี่มู้ปกป้องศิษย์ของเขาคือเซียวเฉวียน ฉะนั้นแล้ว นายใหญ่ของเหล่าผู้อารักขาที่แท้จริงนั้น นั่นก็คือเซียวเฉวียน มิต้องเอ่ยถึงเซียวเฉวียนที่มีสถานะเป็นศิษย์ของท่านปีศาจกวีอีกเลย หลี่มู้ย่อมมิอาจเทียบเท่ากับเซียวเฉวียนได้อยู่แล้ว”
จิตใจของอี้กุยค่อย ๆ จมลงอีกครั้ง "ข้ารู้ แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนี้ หาได้บ่งบอกว่าเกิดจากท่านปู่น้อยไม่ "
“เหตุใดจักไม่ได้เล่าคุณชาย เซียวเฉวียนเป็นถึงหัวหน้าเหล่าปัญญาชน ทั้งยังเป็นรองหัวหน้ากองราชองครักษ์อีกด้วย ฉะนั้นแล้วผู้เป็นนายของเหล่าผู้อารักขาย่อมต้องเป็นปัญญาชน เช่นนี้ เซียวเฉวียนยังมิใช่นายของเหล่าผู้อารักขาอีกงั้นหรือ?”
ความเข้าใจของผู้จัดการร้านค่อนข้างแปลกประหลาดยิ่งนัก เมื่อฟังดูดี ๆ กลับรู้สึกได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันจริง ๆ
“คุณชายขอรับ ข้าน้อยยังได้ยินมาอีกว่า ในยามที่เซียวเฉวียนพยายามช่วยเหลือทาสคุนหลุนออกมาเหวอันยวนนั้น ระหว่างเซียวเฉวียนและทาสคุนหลุนเอง ก็ได้ทำสัญญาต่อกันอีกด้วย”
เกรงว่าเรื่องนี้ หาได้มีคนรู้จักมากไม่
หากแต่มิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวออกมากัน พลันเล่าว่าเซียวเฉวียนและทาสคุนหลุนมีสัญญาต่อกัน หากว่าเซียวเฉวียนสามารถปลดปล่อยทาสคุนหลุนทั้งหมดออกจากเหวอันยวนได้นั้น ไม่ว่าเซียวเฉวียนจักต้องการสิ่งใด เหล่าทานคุนหลุนจักช่วยตอบแทนบุญคุณนี้
"เจ้าว่าอะไรนะ?"
อี้กุยพลันตกตะลึงไปในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้
ผู้จัดการร้านพลันพยักหน้าลง เรื่องนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้อารักขาพูดคุยถึงสัญญากันในยามว่าง จากนั้นเรื่องราวเหล่านี้ถึงค่อย ๆ แพร่กระจายออกมา
ฉะนั้นแล้ว นายท่านที่แท้จริงของเหล่าผู้อารักขานั้นก็คือเซียวเฉวียนนั่นเอง
อี้กุยแทบลมจับจนเสียการทรงตัวไปในทันที ผู้จัดการร้านจึงรีบเข้ามาช่วยพยุงเขาอย่างรวดเร็ว “คุณชาย เป็นอันใดไปขอรับ?”
“เซียวเฉวียนทำสัญญากับทาสคุนหลุนจริงหรือ? พยุงข้านั่งลงหน่อย!”
ขาของอี้กุยพลันมีอาการอ่อนแรงไปในทันที เขาไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
คำพูดของท่านปู่อี้อู๋หลี่ยังคงดังกึ่งก้องอยู่ในหูของเขาว่า "พวกเราตระกูลอี้ ได้พึ่งพาอาศัยเทือกเขาคุนหลุนจนเติบโตมาได้ถึงเช่นนี้ พวกเราอาศัยเพียงแค่การหาเงินเท่านั้น เรื่องอื่นอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว"
ภายในตระกูลอี้นั้น การที่มิเข้าไปเกี่ยวข้องกับเทือกเขาคุนหลุนนั้น มีความสำคัญพอ ๆ กับทายาทของตระกูลอี้ที่สามารถเข้ารับราชการเป็นขุนนางในราชสำนักได้เช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...