ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 397

สรุปบท บทที่ 397 โทษทัณฑ์ร้ายแรง: ซูเปอร์ลูกเขย

สรุปตอน บทที่ 397 โทษทัณฑ์ร้ายแรง – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง

ตอน บทที่ 397 โทษทัณฑ์ร้ายแรง ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนที่จักมีการสถาปนาราชวงศ์ต้าเว่ยขึ้นมา องค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งและอี้อู๋หลี่ล้วนแต่เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน

พวกเขาทั้งหมดต่างก็พบความลึกลับและความแข็งแกร่งของพลังแห่งเทือกเขาคุนหลุน

จักรพรรดิผู้ก่อตั้งพลันได้พบกับตราประทับเหวินอิ้นที่มีพลังแก่กล้า ต่อมาไม่นานเขาก็ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างปัญญาชนและผู้อารักขาได้ในทันที ทั้งยังสั่งให้มีการจัดตั้งอันดับของผู้อารักขาขึ้นมา

หากแต่ อี้อู๋หลี่ที่ได้อาศัยความรู้ในยุคสมัยใหม่นั้นกลับค้นพบว่า อาวุธที่ทำจากแร่ของเทือกเขาคุนหลุนนั้น กลับมีกลิ่นอายที่มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลอี้ก็ได้พึ่งพาอาวุธเหล่านี้ในการสร้างตระกูลของตนเอง

เมื่อเอ่ยถึงการใช้พลังของเทือกเขาคุนหลุนนั้น นับว่าเป็นเหล่าราชวงศ์ที่ใช้ประโยชน์จากพวกเขามากที่สุด มิเช่นนั้น คงจะมิเกิดกลุ่มผู้อารักขาขึ้นมาเช่นนี้อย่างแน่นอน

หากแต่พวกเขาก็ค้นพบด้วยเช่นกันว่า หากพวกเขาต้องจักใช้พลังงานของเทือกเขาคุนหลุนนั้น พวกเขาจักต้องมีการทำพันธสัญญาต่อกัน

ฉะนั้นแล้ว ในยามที่ทาสคุนหลุนกลับกลายมาเป็นผู้อารักขานั้น พวกเขาจักต้องเดินทางไปที่รัฐมนตรีการคลัง ถึงแม้ว่าภายนอกจักเป็นการบอกว่าเพื่อตั้งชื่อแซ่ให้กับพวกเขา แต่แท้จริงแล้วนั้นก็เพื่อให้กลุ่มผู้อารักขาเหล่านั้นทำพันธสัญญากับต้าเว่ย

ด้วยวิธีนี้ เหล่าผู้อารักขาจึงจักได้รับรากเหง้าแห่งการฝึกตนและรากจิตอักษรขึ้นมา

ยังมีคนเคยสงสัยว่า รากเหง้าแห่งการฝึกตนที่เกิดขึ้นบนตัวของปัญญาชนเหล่านั้นก็เป็นหนึ่งในมรดกที่เทือกเขาคุนหลุนมอบให้หรือไม่ มิเช่นนั้นพวกเขาจะสามารถสื่อถึงเหล่าผู้อารักขาได้เช่นไร

บ้างก็คาดเดากันไปว่า ชาวต้าเว่ยและทาสคุนหลุนเองก็เป็นหนึ่งในลูกหลานของเทือกเขาคุนหลุนเช่นกัน

ทว่า อย่างไรก็ตามผู้คนในต้าเง่ยนั้น ก็ยังเชื่อเสมอว่าทาสคุนหลุนคือผู้ที่อยู่ชั้นต่ำสุดของวรรณะ ว่าเทือกเขาคุนหลุนจักศักดิ์สิทธิ์มากเพียงใด แต่นั่นก็เป็นเพียงภูเขาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หาได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับผู้คนไม่

เหล่าผู้คนในต้าเว่ยนั้น พวกเขาจึงนึกภูมิใจในชนชั้นวรรณะที่สูงส่งกว่าทาสคุนหลุน ทั้งยังคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาจักเป็นคนชั้นเดียวกันกับเหล่าทาสคุนหลุนไปได้อย่างไร

อี้กุยรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก ยามที่ทาสคุนหลุนกลายมาเป็นผู้อารักขานั้น พวกเขาจักต้องทำการกล่าวคำสาบาน เพื่อบอกกล่าวกับเทือกเขาคุนหลุน เช่นนี้ก็จักถือเป็นการทำพันธสัญญากับต้าเว่ยแล้ว

ปัญหาก็คือการที่ทาสคุนหลุนจักพันธสัญญากับต้าเว้ยนั้น นับว่าเป็นเรื่องปกติ

ต้าเว่ยที่เป็นหนึ่งในแว่นแคว้นนั้น หากว่าผู้อารักขามีพละกำลังกล้าแกร่ง ยิ่งจำนวนคนมากเท่าใด พวกเขาย่อมต้องถูกควบคุมโดยคนของต้าเว่ยอย่างแน่นอน

อี้กุยมิคิดเลยว่า ท่านปู่น้อยจักกล้าไปทำพันธสัญญากับเหล่าทาสคุนหลุนได้

ทั้งยังทำกับทาสคุนหลุนในเหวอันยวนเสียอีก!

ในภายภาคหน้า หากว่าเซียวเฉวียนจักนำกำลังพลผู้อารักขาและนักปัญญาชนทั้งหลายมาก่อกบฏละก็ ด้วยสถานะของเขาในฐานะประมุขแห่งชิงหยวนนั้น รวมไปถึงพันธสัญญาที่เขาทำกับเหล่าผู้อารักขาแล้วไซร้ หากว่าคิดจะทำการก่อกบฏละก็ เขาย่อมมีกองกำลังก่อกบฐที่แข็งแกร่งมากเป็นแน่!

ที่นั่นมีคงมีทาสคุนหลุนคงมิถึงนับแสนคน ทว่า ก็น่าจะมีจำนวนอยู่ที่มีเจ็ดแปดหมื่นคนกระมัง?

เหล่าผู้อารักขาเพียงคนเดียว มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่าชาวบ้านธรรมดาตาดำถึงสิบคนเลยทีเดียว

หากฝ่าบาททราบเรื่องนี้ขึ้นมาละก็ เขาไม่แปลกใจเลยที่คิดจะทำการสังหารเซียวเฉวียนนับตั้งแต่ตอนนี้!

เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของเซียวเฉวียน คงจะไม่มีวันกลับมาจากเกาะจูเสินแล้ว!

จบแล้ว มันจบแล้ว

เหตุใดเขาเพิ่งมารู้เรื่องตอนนี้ได้กัน?

“เจ้าแน่ใจหรือว่ามันเป็นเรื่องจริง?” อี้กุยพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม

“น่าจะเป็นเรื่องจริงขอรับ” ผู้จัดการร้านพลันพยักหน้าลง มีเหล่าผู้อารักขาหลายคนที่รู้ถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

ขาของอี้กุยรู้สึกอ่อนแรงยิ่งนัก เขารู้จักท่านปู่น้อยของเขาดี

เกรงว่าท่านปู่น้อยคงจะมิรู้ถึงความร้ายแรงของการทำพันธสัญญากระมัง แม้ว่าจักเป็นเพียงสัญญาปากเปล่าก็ตาม

หากพูดถึงสัญญาปากเปล่าของท่านปู่น้อยแล้วนั้น เขาหาได้สนใจกับคำสาบานใด ๆ ไม่ เขาขอเพียงแค่เอ่ยปากออกไปส่ง ๆ เพื่อเป็นการจบเรื่องนี้เท่านั้น

หรือบางทีท่านปู่น้อยอาจจะรับปากกับเหล่าทาสคุนหลุนส่ง ๆ ไปก็เป็นได้ ขอเพียงแค่ทาสคุนหลุนยอมรับเท่านั้น นี่ก็นับว่าเป็นสัญญาปากเปล่าของทั้งสองฝ่าย

หรือว่า...

ในยามนี้ อี้กุยกลับคิดถึงเรื่องราวที่น่าหวาดผวาขึ้นมา นั่นก็คือ เซียวเฉวียนหาได้เคยลงมือลงแรงกับสิ่งที่ตนเองมิได้ประโยชน์ไม่

เป็นไปได้ไหมว่า พันธสัญญาปากเปล่าที่ท่านปู่น้อยทำกับเหล่าทาสคุนหลุนนั้น เป็นเขาที่ตั้งใจทำเช่นนั้น?

ถึงแม้ว่าท่านปู่น้อยจักมิคิดว่าตนเองจักต้องมารับช่วงต่อเป็นประมุขแห่งชิงหยวน ทั้งยังต้องมาคอยควบคุมเหล่าปัญญาชนอีก ทว่า ท่านปู่น้อยเองก็หวังว่าตนเองจักสามารถใช้พลังแห่งการต่อสู้ของทาสคุนหลุนในอนาคตด้วยเช่นกัน

ไอ๊หยา จบแล้ว มันจบแล้ว หากฝ่าบาททราบเรื่องนี้เข้า จักเกิดอะไรขึ้นกัน?

แม้ว่าฝ่าบาทจักเป็นจักรพรรดิของแว่นแคว้น ทว่า เซียวเฉวียนได้ทำสัญญากับเหล่าผู้อารักขาไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภายภาคหน้าหากฝ่าบาทและเซียวเฉวียนจักต้องหันหน้าเข้าห้ำหั่นกันละก็ เหล่าผู้อารักขาพวกนั้นย่อมต้องทำตามสัญญาที่ให้กับเซียวเฉวียนเอาไว้

อี้กุยรู้สึกเวียนหัวยิ่งนัก "ไป ไปเอาตำราหนังสือโบราณของท่านปู่ข้าออกมาเสีย ข้าจะกดูว่ามันมีวิธีการใดที่จะจัดการสัญญาของท่านปู่น้อยกับทาสคุนหลุนไปได้บ้าง"

ผู้อื่นๆ ต่างก็พากันส่งเสียงยกย่อง ทว่า มีเพียงเว่ยไป๋เท่านั้นที่มิเอ่ยสิ่งใด เสมือนกับว่าเขาดูจะคุ้นเคยกับความเจริญรุ่งเรืองและเรื่องราวที่มีสีสันของเซียวเฉวียนมานานแล้ว

มีเพียงเรื่องทาสคุนหลุนที่เซียวเฉวียนเอ่ยขึ้นมาในวันนี้เท่านั้น ที่ทำให้แววตาของเว่ยไป่เป็นประกายขึ้นมาได้ ทั้งยังเอ่ยถามคำถามขึ้นมาเป็นคราแรกอีกด้วยว่า "ทาสคนหลุนที่อยู่ในเหวอันยวนออกมากันหมดแล้วจริงๆ เหรอ?"

คนอื่นๆ หาได้มีท่าทีสนใจเรื่องของทาสคุนหลุนไม่

แม้ว่าพวกเขาจะถูกเนรเทศที่ให้มาใช้ชีวิตราวกับคนป่าคนเขาที่นี่ ทว่า ความเชื่อที่สถานะตนเองมีมากกว่าทาสคุนหลุนนั้น ยังคงฝังลึกเข้าไปในกระดูกดำของพวกเขาอยู่

ในยามนี้ จึงมีเพียงเว่ยไป๋และเซียวเฉวียนเท่านั้นที่พูดถึงทาสคุนหลุน

“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อตั้งแต่เมื่อใด?” ดวงตาของเว่ยไป๋พลันเปล่งเป็นประกายออกมา มากกว่าตอนที่เขาเห็นไฟที่จุดได้ครั้งแรกเสียอีก

"หนึ่งปีที่แล้ว" เซียวเฉวียนตบหน้าอกของเขาด้วยความภาคภูมิใจ "ข้าที่ได้เป็นจอหงวนนั้น ได้บอกกล่าวให้ฝ่าบาทพระราชโองการออกมาว่า ฟื้นฟูอันดับของเหล่าผู้อารักขาพร้อมทั้งปลดปล่อยพวกเขาออกจากเหวอันหยวน"

เว่ยไป่เพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงสัยว่า "เจ้าทำพันธสัญญากับพวกเขาด้วยหรือ?"

“พันธสัญญาอันใด?” เซียวเฉวียนเพียงหันหน้าไปทางปลาย่าง “มันก็เป็นเพียงแค่สัญญาทั่วไปเท่านั้น”

สัญญาปากเปล่า...

เท่านั้น...

เว่ยไป๋ใช้ไม้เขี่ยถ่านที่ติดไฟ ก่อนที่จะเกิดประกายไฟขึ้นมาอีกครั้ง "มิมีผู้ใดบอกกับเจ้าหรือว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการก่อกบฐที่มีโทษทัณฑ์ร้ายแรง"

ก่อกบฐ? เซียวเฉวียนไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนั้น สัญญาปากเปล่าเช่นนี้ถือเป็นการก่อกบฏได้หรือ?

เมื่อเห็นท่าทีที่ดูโง่เง่าของเซียวเฉวียนนั้น เว่ยไป๋จึงเอ่ยขึ้นมาว่า "เกรงว่าแค่เพียงเรื่องนี้ เจ้าคงมิอาจกลับไปเมืองหลวงอีกแล้ว "

“ข้าว่า คนพวกนั้นที่ไม่ต้องการให้เจ้ากลับไปยังเมืองหลวงนั้น คงเริ่มใช้สถานการณ์ในเรื่องนี้ยกขึ้นมาพูดถึงเป็นแน่”

“ข้าที่มีประโยชน์มากมายเช่นนี้ ผู้ใดก็ต้องการให้ข้ากลับไปทั้งนั้น” เซียวเฉวียนกัดปลาย่างออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ อยู่ใกล้ทะเลเช่นนี้ดียิ่งนัก จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวปลาอาหาร

“ข้าเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

เว่ยไป๋พลางเหม่อมองดูทะเลที่อยู่ไม่ไกล พร้อมทั้งแสงอาทิตย์ที่กำลังอัสดง ความงดงามอันไร้ที่ติเช่นนี้ "แต่หลังจากผ่านไปนานหลายปี ข้าก็หมดหวังแล้ว"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย