สรุปเนื้อหา บทที่ 398 ประมุขแห่งมู่อวิ๋น – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 398 ประมุขแห่งมู่อวิ๋น ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
"ข้าจักได้กลับไปแน่นอน"
เซียวเฉวียนพลันกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เว่ยไป๋เพียงคลี่ยิ้มออกมาอ่อน ๆ เว่ยไป๋ในยามนี้ผอมเกินไป ยามที่เว่ยไป๋อาศัยอยู่ภายในเกาะจูเสินมาเป็นเวลานานกว่าสิบสองปีนั้น ทั่วทั้งลำคอและใบหน้าของเขาที่ถูกแสงแดดสอดส่องมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการเผาไหม้เสียจนเป็นริ้วรอยขึ้นเต็มใบหน้าเว่ยไป๋เพียงเอ่ยถามเซียวเฉวียนว่า "เหตุใดเจ้าถึงถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
“เป็นเพราะข้าสังหารคนผู้หนึ่งไป” เซียวเฉวียนมิได้บอกเล่าว่าเป็นเว่ยชิง หากมีเชื้อสายพระวงศ์คนใดอยู่ในกลุ่มนี้ละก็ พวกเขาย่อมต้องเป็นญาติของเว่ยชิงอย่างแน่นอน เช่นนั้นมิใช่ว่าเขารนหาเรื่องใส่ตัวงั้นหรือ
“คงทำการสังหารราชวงศ์กระมัง”
เว่ยไป๋กล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา เซียวเฉวียนหาได้ยอมรับไม่ ทว่าเขาก็มิได้เอ่ยปฏิเสธไปเช่นกัน
ผู้ที่สามารถอยู่รอดได้บนเกาะจูเสินนั้น ต่างก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เซียวเฉวียนมิมีประโยชน์อันใดที่จะต้องโกหกออกมา
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คงมิอาจกลับไปได้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเว่ยไป๋พลันมีความรู้สึกเจือไปด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ราวกับเสียงของบรรพบุรุษที่กำลังเอ่ยสั่งสอนก็ไม่ปาน เสมือนกับสิ่งที่เขากล่าวออกมาว่าเซียวเฉวียนจักมิได้กลับไป ก็ย่อมมิอาจได้กลับไปดั่งคำกล่าว
ราชวงศ์ต้าเว่ยในปัจจุบันนี้ ดำรงอยู่มากว่าสามชั่วอายุคนแล้ว
จักรพรรดิในทุก ๆ รุ่นนั้น ต่างก็ต้องปกป้องศักดิ์ศรีและสายเลือดของราชวงศ์ของตนเอง
หากเซียวเฉวียนทำการสังหารคนในราชวงศ์แล้วไซร้ โอกาสที่เขาจักสามารถกลับไปยังเมืองหลวงย่อมมิมีเหลือ
เว่ยไป๋เอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง ในขณะที่เซียวเฉวียนกำลังกินปลาอย่างเอร็ดอร่อย พลางตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "อือ..."
เว่ยไป๋รู้สึกโมโหยิ่งนัก ผู้อื่น ๆ ล้วนแต่มองว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ หากแต่เซียวเฉวียนกลับดูมิเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด
เว่ยไป๋พลางเอ่ยตะคอกออกมาอย่างเย็นชา "หากเจ้ามิคิดฟังคำพูดของชายชรา เจ้าจะต้องได้รับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน"
“ท่านมีนามว่าอันใดกัน? เหตุใดจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้?”
เซียวเฉวียนนึกอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก เขาต่างก็ได้ยินผู้อื่นเอ่ยเว่ยไป๋ว่าพี่ใหญ่ นับตั้งแต่ที่เซียวเฉวียนมาอยู่ที่นี่ได้หลายวันนั้น เขายังมิรู้จักนามของคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ามิจำเป็นต้องรู้...”
สายตาของเว่ยไป๋พลันสั่นไหวไปเล็กน้อย ก่อนจะเหม่อมองออกไปด้านนอกท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ก่อนจะทำท่าทีครุ่นคิดอะไรบางอย่างออกมา
ไอ๊หยา คนยุคสมัยก่อนล้วนแต่ชอบแสดงท่าทีชายหนุ่มโศกเศร้าออกมา ท่าทีที่เต็มไปด้วยความขมขื่นและความเกลียดชังนั้น เซียวเฉวียนจึงได้แต่โบกไม้โบกมือไปมาว่า "เอาล่ะ หากท่านมิอยากบอกก็มิเป็นอันใด ท่านอย่าได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมากไปนัก
“เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยถามนามของข้า?” เว่ยไป๋พึมพำกล่าวออกมา ชื่อของผู้ที่ถูกเนรเทศมายังเกาะจูเสินนั้น หาได้มีความหมายอันใดไม่
เซียวเฉวียนจึงวางปลาย่างในมือของตนลง ดวงตาของเขาพลันทอประกายออกมา ก่อนจะหันหน้ามองไปยังทะเลที่สุดลูกหูลูกตานั้น แล้วจึงทำท่าทางและเอ่ยน้ำเสียงที่ดูขมขื่นเช่นเว่ยไป๋ขึ้นมาว่า "ข้าเพียงแค่คิดว่า นามของตนคือสิ่งที่บิดามารดาตั้งให้ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนธรรมดา มิสมควรที่จะหลงลืมนามของตนเองไป…”
หลังจากเลียนแบบท่าทางของเว่ยไป๋จนหมดนั้น เซียวเฉวียนจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พอแล้ว เขาไม่เข้าถึงแก่นความในใจของอารมณ์คนยุคสมัยก่อนเลยจริงๆ
เว่ยไป๋จึงหันหน้ากลับมา ก่อนจะจ้องมองไปยังเปลวเพลิงที่ค่อย ๆ ลุกโชติช่วงนั้น ราวกับเขากำลังขบคิดคำพูดของเซียวเฉวียนอยู่ ให้ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนธรรมดา มิสมควรที่จะหลงลืมนามของตนเองไป...
ทว่า บนเกาะจูเสินนั้น ความหมายของชื่อตนเองคือสิ่งใดกัน?
“ในเมื่อเจ้ายังคงยิ้มได้เช่นนี้ เจ้ามิเป็นกังวลคนในครอบครัวของเจ้างั้นรึ?” เว่ยไป๋เหลือบมองดูเซียวเฉวียนที่กำลังหาอาหารใส่ท้องของตนเองมิมีหยุดเช่นนี้ นับตั้งแต่ที่เขามาถึงที่นี่ได้สี่ห้าวัน เซียวเฉวียนมักจะกินดีอยู่ดีอยู่เสมอ หาได้มีท่าทีของคนทุกข์ใจไม่
“ไม่ต้องห่วง เหล่าผู้อารักขาของข้าจักดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเอง”
เซียวเฉวียนเช็ดปากของตนเอง มีไป๋ฉี่อยู่ด้วยเช่นนี้ ผู้คนในจวนตระกูลเซียวจักต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
“ฉะนั้น ท่านมีนามว่าอันใดเล่า?” เซียวเฉวียนดูจะหมกมุ่นอยู่กับนามของเขาเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าหัวข้อเรื่องจะเปลี่ยนไปนั้น แต่เขาก็ยังคงวกกลับมาถามคำถามนี้ได้เช่นเดิม
เซียวเฉวียนเป็นคนแรกที่เอ่ยถามนามของเขา
คำว่าเว่ยไป๋สองคำนี้นั้น สำหรับตัวของเว่ยไป๋แล้ว ราวกับมันอยู่ในที่ไกลแสนไกลยิ่งนัก
หากเป็นผู้อื่นเอ่ยถามละก็ เว่ยไป๋คงมิอยากจะเอ่ยนามของตนเองออกมา ทว่า เซียวเฉวียนกลับเข้ามาพูดคุยกับเขาเสมือนกับสหายคนทั่วไป ฉะนั้นแล้ว นามว่าเว่ยไป๋สองคำนี้จึงดูมิได้มีท่าทีหนักใจที่จะเอ่ยออกมาเท่าใดนัก
เซียวเฉวียนยังคงรั้งรอต่อไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้เวลาแก่เว่ยไป๋ เว่ยไป๋พึมพำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาว่า "เว่ยไป๋ นามของข้าคือเว่ยไป๋"
ก่อนที่เซียวเฉวียนจะทันได้เอ่ยอันใดออกมานั้น เหล่าคนอื่น ๆ จึงพากันร้องอุทานออกมาว่า "พี่ใหญ่! ท่านคือเว่ยไป๋หรือ! ที่แท้ท่านก็คือเว่ยไป๋จริงๆ หรือ! ท่านคือเว่ยไป๋จากรัฐมู่อวิ๋นงั้นหรือ?"
เว่ยไป๋พยักหน้าลง ก่อนจะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
เมื่อดูปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ เซียวเฉวียนจึงรู้สึกสับสนยิ่งนัก เว่ยไป๋มีชื่อเสียงมากเลยหรือ?
อย่างไรก็ตาม เว่ยไป๋ เว่ยชิง เว่ยอวี๋...
“ท่านเป็นเชื้อพระราชวงศ์หรือ?” เซียวเฉวียนเอ่ยถามออกมา
ในขณะเดียวกัน อาฉีถึงกับกลอกตาใส่เซียวเฉวียนไปในทันที "เจ้ามิได้บอกว่าตนเองเป็นจอหงวน ฉายาของเว๋ยไป๋ท่านมิรู้จักหรือ? ท่านมิได้ร่ำเรียนประวัติศาสตร์ของแคว้นต้าเว่ยหรืออย่างไรกัน?"
ไอ้ เจ้า! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตั้งคำถามถึงความเชี่ยวชาญของข้าเช่นนี้กัน! เซียวเฉวียนพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ทว่าเขาหาได้เอ่ยสิ่งใดออกมาไม่ เขาเองก็รู้ดีว่าตนเองมิได้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ของต้าเว่ยมากนัก
อาฉีจึงทำเมินเฉยต่อเซียวเฉวียน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
ในต้าเว่ยมีเจ็ดรัฐ หนึ่งในนั้นมีรัฐหนึ่งที่เรียกว่ารัฐมู่อวิ๋น
รัฐมู่อวิ๋นอยู่ทางทิศตะวันออกของรัฐไป๋ลู่ ทั้งยังห่างออกไปประมาณเจ็ดร้อยลี้
ราชวงศ์ต้าเว่ยที่เลือกปฏิบัติต่อทาสคุนหลุนมากเสียจน แม้แต่บุคคลคนธรรมดาก็ยังทำตัวเย่อหยิ่งผยองต่อบรรดาเหล่าทาสคุนหลุนเช่นนี้
มิต้องเอ่ยถึงผู้ที่มีมีอำนาจเลย พวกเขาหาได้คิดว่าทาสคุนหลุนเป็นมนุษย์คนหนึ่งไม่ ในสายตาของพวกเขาแล้ว ทาสคุนหลุนกลับมีสถานะมิต่างจากหมูหรือสุนัขก็เท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง เว่ยไป๋ที่เป็นถึงประมุขแห่งมู่อวิ๋นนั้น หากว่าพบพารักกันกับบุคคลที่มีสถานะต่ำสุดเช่นนี้ ทั้งยังมีบุตรชายบุตรสาวด้วยกันอีก ย่อมทำให้เกิดคลื่นลมที่ส่งผลกระทบต่อราชวงศ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยการกระทำของเว่ยไป๋เช่นนี้ ย่อมทำให้ราชวงศ์ต้าเว่ยต้องอับอายขายหน้า เสมือนกับให้ผู้คนในใต้หล้าเข้ามาเหยียบย่ำใบหน้าของราชวงศ์ต้าเว่ยได้ ทั้งทำให้สายเลือดอันสูงส่งของราชวงศ์ต้องมาปนเปื้อนเสื่อมเสียอีกด้วย
เว่ยไป๋จึงถูกเนรเทศออกมา
อีกทั้ง นามของเขาก็จักมิถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าเว่ยอีกด้วย
เพราะนี่ นับว่าเป็นหนึ่งในความอัปยศสำหรับราชวงศ์ต้าเว่ย
แต่ถึงกระนั้น เว่ยไป๋และมารดาของไป๋ฉี่นั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวออกมาด้วยกันสองคน
อาจกล่าวได้ว่าเขานับว่ากล้าหาญและมีความสามารถยิ่งนัก สิ่งนี้ทำให้เซียวเฉวียนนึกชื่นชมเขาอย่างจริงใจ เว่ยไป๋จักต้องเป็นบุรุษหนุ่มหัวรั้นที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญอย่างแน่นอน
มิแปลกใจเลยว่า ในขณะที่ทาสคุนหลุนคนอื่นๆ นั้น หาได้รู้จักตัวอักษรไม่ หากแต่ไป๋ฉี่กลับสามารถอ่านและเขียนตัวอักษรได้อย่างเชี่ยวชาญ
ไป๋ฉี่เองก็เกิดมาพร้อมสติปัญญาบางอย่างเช่นกัน
ที่แท้เขาก็ได้ความสามารถของคนเช่นบิดาไป
ไม่ดีแล้ว
เซียวเฉวียนได้แต่กุมขมับไปในทันที มั่วสี่เข้าวังไปแล้ว เช่นนั้นมั่วสี่ก็คือหนี่งในเครือญาติองค์จักรพรรดิมิใช่หรือ?
ทั้งยังเป็นเซียวเฉวียนที่ส่งนางไปด้วย
เซียวเฉวียนกลืนน้ำลายลงคอด้วยท่าทีวิตกกังวล ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเจือน ๆ พลางนั่งนิ่งเงียบตามคนอื่นไปในทันที "ข้าง่วงแล้ว ข้าขอตัวไปนอนก่อน "
“ดูท่าทางของเจ้าแล้ว เจ้ารู้จักกับพวกเขา ใช่หรือไม่?”
จู่ ๆ เว่ยไป๋ก็เอ่ยหยุดเซียวเฉวียนเอาไว้
มิต้องเอ่ยก็รู้ได้ในทันทีว่า พวกเขาในความหมายของเว่ยไป๋นั้น ก็คือครอบครัวของไป๋ฉี่อย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...