ครั้งนี้ ผู้อารักขาที่ล้วนเป็นทาสคุนหลุน ไปยังหนานโตวตามคำสั่งของฮ่องเต้
ผู้อารักขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือทาสคุนหลุน และอีกกลุ่มคือชาวยุทธ์แท้
ผู้อารักขาที่สามารถได้ยินเสียงเรียกของตราประทับเหวินอิ้น และถูกตราประทับเหวินอิ้นควบคุม มีเพียงผู้อารักขาที่เป็นทาสคุนหลุนเท่านั้น
ผู้อารักขาที่เกิดจากชาวยุทธ์แท้ เป็นอาวุธยอดมนุษย์ที่เหนือชั้นกว่าในด้านกำลัง อาวุธต่าง ๆ จะถูกเลือกตามสิ่งที่ชำนาญและความถนัดมือ เช่นต่งจัว ซึ่งมีพลังแขนที่แข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง เป็นมือยิงธนูอันดับต้น ๆ และการใช้ดาบที่เป็นที่ยอมรับ
ผู้ที่ไม่เคยเรียนหนังสือหรือรากจิตอักษรขาดเท่านั้น จึงจะสามารถเป็นชาวยุทธ์แท้ได้ พวกเขาไม่รู้จักตัวอักษร มีความเข้าใจตามปกติทั่วไปแต่ไม่สามารถเข้าใจบทกวีและโคลงกลอนได้ เทียบเท่ากับผู้ที่ไม่รู้หนังสือ
ผู้อารักขาที่เกิดจากทาสคุนหลุน เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง สามารถอ่านหนังสือและรู้จักตัวอักษร แต่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยศักยภาพของเจ้านาย หากเจ้านายแข็งแกร่งมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น อาวุธก็ยึดตามความชอบของเจ้านาย เช่นไป๋ฉี่และเหมิงเอ้า เซียวเฉวียนให้ดาบจิงหุนแก่พวกเขา นั่นก็คือาวุธที่ถูกลิขิตไว้แล้ว
รัฐไป๋ลู่เป็นสถานที่ที่ผู้พเนจรในยุทธภพเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ และมักชอบใช้กำลัง ดังนั้นผู้อารักขาที่เป็นทาสคุนหลุนจะมีจำนวนไม่มาก
รวมทั้งรัฐไป๋ลู่มีจำนวนปัญญาชนไม่มาก มีเพียงสามสี่หมื่นคน ซึ่งนับเป็นครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง
ผู้อารักขาสามสี่หมื่นคนนี้ นอกจากผู้อารักขาที่เป็นชาวยุทธ์แท้ เหลือผู้อารักขาเพียงหนึ่งหมื่นคนเท่านั้นที่เซียวเฉวียนสามารถใช้ประโยชน์ได้
ตามความคิดของขุนนางเมืองหลวง หากเปรียบเทียบผู้อารักขาหนึ่งหมื่นคนกับผู้พเนจรในยุทธภพที่มีราวหนึ่งแสนคน มีความเหลื่อมล้ำกันค่อนข้างมาก แต่ถึงแม้จะมอบผู้อารักขาทั้งหนึ่งหมื่นคนให้แก่เซียวเฉวียน และใช้ศักยภาพที่มีอยู่ของเซียวเฉวียน ก็ไม่อาจขับเคลื่อนผู้อารักขามากมายเช่นนี้ได้!
เหล่าขุนนางทั้งหลายของเมืองหลวง ได้ยินมาว่าเซียวเฉวียนใช้ตราประทับเหวินอิ้น จึงได้ร่วมกันคัดค้านอย่างตื่นตระหนก พวกเขาคิดว่าเซียวเฉวียนผู้นี้ไร้ความยำเกรง! ไม่เจียมตัว!
หลังจากอัครเสนาบดีจูเสียชีวิต ตำแหน่งอัครเสนาบดีก็ว่างมาโดยตลอด ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่จ้าวจินไหลจึงกลายเป็นหัวหน้าอันดับต้นของเหล่าขุนนาง เดิมทีเขาก็พูดจาตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่มีอัครเสนาบดีอยู่ด้วย เขาคิดไปเองด้วยซ้ำว่าเขามีความรับผิดชอบและหน้าที่ในการให้คำแนะนำ “ฝ่าบาท! พระองค์ไม่ควรเชื่อผู้มีความผิดที่ถูกเนรเทศอย่างเซียวเฉวียนนะพะยะค่ะ!”
“หาก หาก หากว่าเขาสามารถเอาชนะได้ หม่อมฉันยอมกินอุจจาระ! ไม่สิ หม่อมฉันยอมเดินขบวนประจานตัวเองเลยพะยะค่ะ!”
“ฝ่าบาท! ส่งผู้อื่นไปปราบกบฏอีกเถิดพะยะค่ะ!”
คำพูดของจ้าวจินไหลทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างตกใจ เกรงว่าวันนี้ขุนนางจ้าวผู้ยิ่งใหญ่จะถูกฝ่าบาทปั่นหัวจนโกรธเป็นบ้าเป็นหลัง ยอมแม้กระทั้งกินอุจจาระและเดินขบวนประจานตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้นึกไม่ถึง ว่าจ้าวจินไหลยอมพูดว่าะกินอุจจาระอย่างห้าวหาญเช่นนี้ ส่งผู้อื่นไปงั้นหรือ?
ความหมายโดยนัยของจ้าวจินไหล ก็คือการที่ฮ่องเต้ไปขอร้องเว่ยเชียนชิว
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว นอกจากการขอร้องเว่ยเชียนชิว เหล่าขุนนางทั้งหลายก็คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว
ผู้ใดสั่งให้รัฐไป๋ลู่มีดินแดนครึ่งหนึ่งเป็นของเว่ยเชียนชิวกันเล่า? เว่ยชิงที่อยู่ข้างฮ่องเต้ก็ตายไปแล้ว รัฐไป๋ลู่จึงสูญเสียการควบคุม ผู้พเนจรในยุทธภพเหล่านั้นหากไม่ฟังเว่ยชิง ย่อมต้องฟังเว่ยเชียนชิวแน่นอน เหล่าขุนนางทั้งหลายคิดว่า การขอร้องเว่ยเชียนชิวเป็นวิธีที่จะทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
ท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งหลาย คาดว่ามีคนจำนวนครึ่งหนึ่งที่เป็นคนในค่ายของเว่ยเชียนชิว
ดังนั้น การที่ฮ่องเต้ไปขอร้องเว่ยเชียนชิวถือเป็นสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับ
จ้าวจินไหลจึงทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น “ฝ่าบาท พระองค์ไม่ควรนำความปลอดภัยของรัฐไป๋ลู่ และเกียรติภูมิของต้าเว่ยฝากไว้กับบุคคลอัปมงคลเช่นนี้!”
“นับตั้งแต่เซียวเฉวียนปรากฏตัวในเมืองหลวง บุคคลที่ใกล้ชิดกับเขา ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพฉิน เหวินฮั่น เหวินคุนต่างก็ต้องถึงแก่ความตาย บุคคลเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าของต้าเว่ย แต่กลับต้องตายเพราะคนอัปมงคลอย่างเซียวเฉวียน!”
จ้าวจินไหลส่ายหัว “เขาเป็นคนอัปมงคล เขาจะพาต้าเว่ยไปพบกับชะตากรรมที่ไม่ดี มิควรให้บุคคลเช่นนี้มากำหนดความเป็นความตายของรัฐไป๋ลู่นะพะยะค่ะ!”
“ฝ่าบาท! ไปขอร้องเขาเถอะพะยะค่ะ!”
จ้าวจินไหลกัดฟันกรอด แต่ก็ยังประสงค์จะพูดออกมาเช่นนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลายแอบตกใจ กลุ่มคนของเว่ยเชียนชิวแอบดีใจ จ้าวจินไหลโน้มน้าวฮ่องเต้ได้ผลดีมากกว่าขุนนางผู้น้อยเสียอีก
จ้าวจินไหลพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าเฉาสิงจือบูดบึ้ง เขาเม้มริมฝีปากแต่ไม่พูดสิ่งใดออกมา ฮ่องเต้เลิกคิ้ว ได้ นี่ก็คือขุนนางที่ดีของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...