ณ รัฐไป๋ลู่ ผู้อารักขายังมาไม่ถึง แต่กลับเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ลุกลามไปทั่วหนานโตว
คนโบราณกล่าวไว้ว่า “กองทัพจะทำศึกได้ ต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมก่อน” ซึ่งมีความหมายว่าก่อนจะออกศึก ควรเตรียมเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าเสียก่อน
ประโยคถัดจาก กองทัพจะทำศึกได้ ต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมก่อนก็คือ “ป้องกันความล้มเหลวในการเพาะปลูกที่อาจเกิดในทุกปี และป้องกันการโจรกรรมที่อาจเกิดในทุกคืน” ซึ่งหมายความว่าปีแห่งหายนะและโจรกรรมจะนำความสูญเสียมหาศาลมาสู่ผู้คน ดังนั้นผู้คนควรให้ความสำคัญกับความประหยัดและควรระวังในชีวิตประจำวัน
และในวันนี้ เซียวเฉวียนก็คือโจรผู้นั้น โจรที่มาวางเพลิง
กองเพลิงที่ลุกไหม้นั้นก็ไม่ใช่ที่ใด มันเกิดขึ้นที่ฉางข้าวทั่วหนานโตว
ตอนที่เซียวเฉวียนสั่งให้ต่งจัวไปเอาตราประทับเหวินอิ้น จึงได้ถามฉินเซิงว่าที่กักตุนอาหารของรัฐไป๋ลู่อยู่ที่ใดบ้าง
ซือชือถือว่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม เขากระจายฉางข้าวสำหรับเก็บเสบียงทหารของหนานโตวไว้ทางเหนือใต้ออกตกสี่ทิศ ทำให้เซียวเฉวียนหาได้ยาก
ดังนั้น ตอนที่พวกเฉินอี้ไปจับตัวประมุขน้อย เซียวเฉวียนจึงสั่งให้คนเผาฉางข้าวของหนานโตวเสียก่อน
เดิมทีในสมัยโบราณก็ขาดแคลนอาหารอยู่แล้ว ต่อให้ผู้พเนจรในยุทธภพเก่งกาจเพียงใด พวกเขาก็ต้องกินให้อิ่มท้อง แม้จะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถปล่อยให้ท้องหิวกิ่วได้
เมื่อไฟของเซียวเฉวียนถูกจุดขึ้น เหนือใต้ออกตกทั้งสี่ทิศก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
เฉินอี้มีการส่งคนไปดูแลฉางข้าว แต่สำหรับสิบเจ็ดอรหันต์อย่างต่งจัวและเว่ยไป๋นั้น พวกเขาเป็นถึงยอดมนุษย์ การวางเพลิงถือเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย
ผู้พเนจรในยุทธภพที่ดูแลฉางข้าว ไม่ใช่คู่ปรับที่เหมาะสมของต่งจัวเลย
ดังนั้นฉางข้าวทั้งสี่จึงถูกเผามอดไหม้
แม้การทำลายเสบียงอาหารเป็นเรื่องน่าเสียดาย เซียวเฉวียนเองก็เจ็บปวดในใจไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกอื่น ผู้พเนจรในยุทธภพมีมากเกินไป หากไม่ตัดขาดเสบียงอาหารของพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาอิ่มท้อง จะเสียการใหญ่มากกว่า
ในยุคโบราณฮว๋าเซี่ย ในตัวอย่างของสงครามที่ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่ง การเผาฉางข้าวและตัดขาดเสบียงอาหารถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและใช้กันทั่วไป
ในประวัติศาสตร์ฮว๋าเซี่ย มีสงครามหนึ่งที่คล้ายกันมากกับสถานการณ์ที่เซียวเฉวียนกำลังประสบอยู่
นั่นก็คือยุทธการกวนตู้ที่เลื่องชื่อ สงครามครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของการใช้คนกลุ่มน้อยเพื่อเอาชนะคนกลุ่มใหญ่
ในตอนนั้นหยวนเซ่ามีกำลังพลหนึ่งแสนคน โจโฉจอมทัพอหังการมีกำลังพลเพียงแค่สองหมื่นคน หรืออาจน้อยกว่านั้น นี่เป็นเพียงตัวเลขโดยประมาณ
อย่างไรก็ตาม กำลังพลของหยวนเซ่ายิ่งใหญ่กว่า มีกองกำลังมากกว่า หยวนเซ่าอาศัยกำลังพลที่มากกว่า เขารู้สึกผยองและพึงพอใจ แต่ไม่คาดคิดว่าโจโฉจะใช้การโจมตีที่น่าประหลาดใจ เขาเผาเสบียงอาหารของกองกำลังทหารสำหรับหนึ่งแสนคนของหยวนเซ่าจนไม่เหลือซาก เหลือเพียงเศษควันให้หยวนเซ่าไว้ดูต่างหน้า ส่งผลให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอน เกิดความแตกแยกภายใน และกองทัพก็ล่มสลาย
สิ่งที่บังเอิญก็คือ ความสำคัญของยุทธการกวนตู้ ไม่ได้แตกต่างจากสงครามครั้งนี้ของเซียวเฉวียนเลย
สงครามครั้งนี้ของเซียวเฉวียน จุดประสงค์หลักคือการตัดเขตพรมแดนประเทศบริวาร ส่งเสริมให้ต้าเว่ยรวมเป็นแผ่นดินเดียว
ชัยชนะในยุทธการกวนตู้ของโจโฉ ถือเป็นการต่อสู้ที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางตอนเหนือของจีนจากการแบ่งแยกเป็นการรวมประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประวัติศาสตร์ของสามก๊ก
แม้ว่าสงครามรวมประเทศระหว่างหยวนเซ่ากับโจโฉ จะเป็นการต่อสู้ระหว่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนศักดินา แต่ก็ทำให้เกิดการรวมเป็นหนึ่งของแผ่นดินต่าง ๆ และสอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชนอย่างเป็นกลาง
เช่นเดียวกับรัฐไป๋ลู่ที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ หวังให้รัฐไป๋ลู่มีความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองเยี่ยงเมืองหลวง ประชาชนต่างรอคอยให้ฮ่องเต้พลิกชีวิตพวกเขาให้มีความสุข ในยามที่ซือชือกุมอำนาจนั้น เงินทั้งหมดถูกใช้สำหรับผู้พเนจรในยุทธภพ และเก็บภาษีประชาชนอย่างหนักจนไม่อาจมีวันที่สุขสบายได้
ตำแหน่งฉางข้าวทั้งสี่ถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ ทำอย่างไรได้ในเมื่อผู้พเนจรในยุทธภพไม่ต่างจากหยวนเซ่าเลย หยิ่งยโสคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ ส่งคนไปดูแลฉางข้าวไม่มากพอ ดังนั้นพวกเว่ยไป๋และต่งจัวจึงลงมือได้ง่าย
เป็นดังที่เซียวเฉวียนคาดคิด ผู้พเนจรในยุทธภพเป็นคนสะเพร่าง พวกเฉินอี้ไม่ใช่แม่ทัพใหญ่อย่างหยวนเซ่า
และกลุ่มผู้พเนจรในยุทธภพก็ไม่ใช่ทหารประจำการอย่างหยวนเซ่า เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าถูกเผา นอกจากเฉินอี้และผู้นำคนอื่น ๆ ที่สะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้พเนจรในยุทธภพส่วนใหญ่กลับนึกไม่ออกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงมากเพียงใด
เฉินอี้นำผู้พเนจรในยุทธภพทั้งสามหมื่นคน รุดหน้าไปจับกุมประมุขน้อยแห่งรัฐไป๋ลู่ตามทิศทางที่เซียวเฉวียนบอก
เฉินอี้ได้รับแจ้งระหว่างทางว่าเสบียงอาหารถูกเผาหมดแล้ว ตอนนี้ตัวเขาเองก็อยู่ห่างจากใจกลางเมืองหนานโตวอยู่พอสมควร เฉินอี้หันหลังกลับไปมอง พลางกัดฟันกรอด “เผาได้ก็เผาไป กลับไปค่อยว่ากัน!”
เซียวเฉวียนและชิงหลงที่ติดตามมาด้วยมองหน้ากันพร้อมกับยิ้มออกมา เซียวเฉวียนเสแสร้งพูดขึ้นด้วยความปวดใจ “เกรงว่าผู้ที่ลงมือจะเป็นคนในค่ายทหารหนานโตว โหดเหี้ยมเสียจริง!”
“ให้ตายเถอะ เผาได้ก็เผาไป! หากพวกเราต้องหิวตาย พวกสวะเหล่านั้นในค่ายทหารหนานโตวก็ต้องหิวตายไปพร้อมกับพวกเรา!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...