ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 433

สรุปบท บทที่ 433 สงครามแห่งประวัติศาสตร์: ซูเปอร์ลูกเขย

สรุปตอน บทที่ 433 สงครามแห่งประวัติศาสตร์ – จากเรื่อง ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง

ตอน บทที่ 433 สงครามแห่งประวัติศาสตร์ ของนิยายนิยายจีนโบราณเรื่องดัง ซูเปอร์ลูกเขย โดยนักเขียน ชิงเฉิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ณ รัฐไป๋ลู่ ผู้อารักขายังมาไม่ถึง แต่กลับเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ลุกลามไปทั่วหนานโตว

คนโบราณกล่าวไว้ว่า “กองทัพจะทำศึกได้ ต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมก่อน” ซึ่งมีความหมายว่าก่อนจะออกศึก ควรเตรียมเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าเสียก่อน

ประโยคถัดจาก กองทัพจะทำศึกได้ ต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมก่อนก็คือ “ป้องกันความล้มเหลวในการเพาะปลูกที่อาจเกิดในทุกปี และป้องกันการโจรกรรมที่อาจเกิดในทุกคืน” ซึ่งหมายความว่าปีแห่งหายนะและโจรกรรมจะนำความสูญเสียมหาศาลมาสู่ผู้คน ดังนั้นผู้คนควรให้ความสำคัญกับความประหยัดและควรระวังในชีวิตประจำวัน

และในวันนี้ เซียวเฉวียนก็คือโจรผู้นั้น โจรที่มาวางเพลิง

กองเพลิงที่ลุกไหม้นั้นก็ไม่ใช่ที่ใด มันเกิดขึ้นที่ฉางข้าวทั่วหนานโตว

ตอนที่เซียวเฉวียนสั่งให้ต่งจัวไปเอาตราประทับเหวินอิ้น จึงได้ถามฉินเซิงว่าที่กักตุนอาหารของรัฐไป๋ลู่อยู่ที่ใดบ้าง

ซือชือถือว่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม เขากระจายฉางข้าวสำหรับเก็บเสบียงทหารของหนานโตวไว้ทางเหนือใต้ออกตกสี่ทิศ ทำให้เซียวเฉวียนหาได้ยาก

ดังนั้น ตอนที่พวกเฉินอี้ไปจับตัวประมุขน้อย เซียวเฉวียนจึงสั่งให้คนเผาฉางข้าวของหนานโตวเสียก่อน

เดิมทีในสมัยโบราณก็ขาดแคลนอาหารอยู่แล้ว ต่อให้ผู้พเนจรในยุทธภพเก่งกาจเพียงใด พวกเขาก็ต้องกินให้อิ่มท้อง แม้จะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถปล่อยให้ท้องหิวกิ่วได้

เมื่อไฟของเซียวเฉวียนถูกจุดขึ้น เหนือใต้ออกตกทั้งสี่ทิศก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง

เฉินอี้มีการส่งคนไปดูแลฉางข้าว แต่สำหรับสิบเจ็ดอรหันต์อย่างต่งจัวและเว่ยไป๋นั้น พวกเขาเป็นถึงยอดมนุษย์ การวางเพลิงถือเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย

ผู้พเนจรในยุทธภพที่ดูแลฉางข้าว ไม่ใช่คู่ปรับที่เหมาะสมของต่งจัวเลย

ดังนั้นฉางข้าวทั้งสี่จึงถูกเผามอดไหม้

แม้การทำลายเสบียงอาหารเป็นเรื่องน่าเสียดาย เซียวเฉวียนเองก็เจ็บปวดในใจไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกอื่น ผู้พเนจรในยุทธภพมีมากเกินไป หากไม่ตัดขาดเสบียงอาหารของพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาอิ่มท้อง จะเสียการใหญ่มากกว่า

ในยุคโบราณฮว๋าเซี่ย ในตัวอย่างของสงครามที่ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่ง การเผาฉางข้าวและตัดขาดเสบียงอาหารถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและใช้กันทั่วไป

ในประวัติศาสตร์ฮว๋าเซี่ย มีสงครามหนึ่งที่คล้ายกันมากกับสถานการณ์ที่เซียวเฉวียนกำลังประสบอยู่

นั่นก็คือยุทธการกวนตู้ที่เลื่องชื่อ สงครามครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของการใช้คนกลุ่มน้อยเพื่อเอาชนะคนกลุ่มใหญ่

ในตอนนั้นหยวนเซ่ามีกำลังพลหนึ่งแสนคน โจโฉจอมทัพอหังการมีกำลังพลเพียงแค่สองหมื่นคน หรืออาจน้อยกว่านั้น นี่เป็นเพียงตัวเลขโดยประมาณ

อย่างไรก็ตาม กำลังพลของหยวนเซ่ายิ่งใหญ่กว่า มีกองกำลังมากกว่า หยวนเซ่าอาศัยกำลังพลที่มากกว่า เขารู้สึกผยองและพึงพอใจ แต่ไม่คาดคิดว่าโจโฉจะใช้การโจมตีที่น่าประหลาดใจ เขาเผาเสบียงอาหารของกองกำลังทหารสำหรับหนึ่งแสนคนของหยวนเซ่าจนไม่เหลือซาก เหลือเพียงเศษควันให้หยวนเซ่าไว้ดูต่างหน้า ส่งผลให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอน เกิดความแตกแยกภายใน และกองทัพก็ล่มสลาย

สิ่งที่บังเอิญก็คือ ความสำคัญของยุทธการกวนตู้ ไม่ได้แตกต่างจากสงครามครั้งนี้ของเซียวเฉวียนเลย

สงครามครั้งนี้ของเซียวเฉวียน จุดประสงค์หลักคือการตัดเขตพรมแดนประเทศบริวาร ส่งเสริมให้ต้าเว่ยรวมเป็นแผ่นดินเดียว

ชัยชนะในยุทธการกวนตู้ของโจโฉ ถือเป็นการต่อสู้ที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางตอนเหนือของจีนจากการแบ่งแยกเป็นการรวมประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประวัติศาสตร์ของสามก๊ก

แม้ว่าสงครามรวมประเทศระหว่างหยวนเซ่ากับโจโฉ จะเป็นการต่อสู้ระหว่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนศักดินา แต่ก็ทำให้เกิดการรวมเป็นหนึ่งของแผ่นดินต่าง ๆ และสอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชนอย่างเป็นกลาง

เช่นเดียวกับรัฐไป๋ลู่ที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ หวังให้รัฐไป๋ลู่มีความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองเยี่ยงเมืองหลวง ประชาชนต่างรอคอยให้ฮ่องเต้พลิกชีวิตพวกเขาให้มีความสุข ในยามที่ซือชือกุมอำนาจนั้น เงินทั้งหมดถูกใช้สำหรับผู้พเนจรในยุทธภพ และเก็บภาษีประชาชนอย่างหนักจนไม่อาจมีวันที่สุขสบายได้

ตำแหน่งฉางข้าวทั้งสี่ถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ ทำอย่างไรได้ในเมื่อผู้พเนจรในยุทธภพไม่ต่างจากหยวนเซ่าเลย หยิ่งยโสคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ ส่งคนไปดูแลฉางข้าวไม่มากพอ ดังนั้นพวกเว่ยไป๋และต่งจัวจึงลงมือได้ง่าย

เป็นดังที่เซียวเฉวียนคาดคิด ผู้พเนจรในยุทธภพเป็นคนสะเพร่าง พวกเฉินอี้ไม่ใช่แม่ทัพใหญ่อย่างหยวนเซ่า

และกลุ่มผู้พเนจรในยุทธภพก็ไม่ใช่ทหารประจำการอย่างหยวนเซ่า เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าถูกเผา นอกจากเฉินอี้และผู้นำคนอื่น ๆ ที่สะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้พเนจรในยุทธภพส่วนใหญ่กลับนึกไม่ออกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงมากเพียงใด

เฉินอี้นำผู้พเนจรในยุทธภพทั้งสามหมื่นคน รุดหน้าไปจับกุมประมุขน้อยแห่งรัฐไป๋ลู่ตามทิศทางที่เซียวเฉวียนบอก

เฉินอี้ได้รับแจ้งระหว่างทางว่าเสบียงอาหารถูกเผาหมดแล้ว ตอนนี้ตัวเขาเองก็อยู่ห่างจากใจกลางเมืองหนานโตวอยู่พอสมควร เฉินอี้หันหลังกลับไปมอง พลางกัดฟันกรอด “เผาได้ก็เผาไป กลับไปค่อยว่ากัน!”

เซียวเฉวียนและชิงหลงที่ติดตามมาด้วยมองหน้ากันพร้อมกับยิ้มออกมา เซียวเฉวียนเสแสร้งพูดขึ้นด้วยความปวดใจ “เกรงว่าผู้ที่ลงมือจะเป็นคนในค่ายทหารหนานโตว โหดเหี้ยมเสียจริง!”

“ให้ตายเถอะ เผาได้ก็เผาไป! หากพวกเราต้องหิวตาย พวกสวะเหล่านั้นในค่ายทหารหนานโตวก็ต้องหิวตายไปพร้อมกับพวกเรา!”

“ต้องใหญ่แน่นอน! เอาแบบที่ใหญ่ที่สุดเลย!” เฉินอี้หัวเราะร่า สีหน้าเต็มไปด้วยความเอาอกเอาใจ “ให้ท่านและใต้เท้าชิงหลงมีพระราชวังคนละแห่งไปเลย!”

“ดี! ดี! ดี!” เซียวเฉวียนพยักหน้าอย่างดีใจ เขาเหลือบไปมองชิงหลงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอาแต่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร

ทิศทางที่เซียวเฉวียนชี้ คือท่ามกลางเทือกเขาที่ต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตกของหนานโตว

เขาบอกกับเฉินอี้ว่า ฉินเซิงและประมุขน้อยแห่งรัฐไป๋ลู่หลบอยู่ที่นั่น

ที่นั่นคือเทือกเขาไร้ชื่อ เป็นภูเขาสูงและมืดครึ้ม มีแม่น้ำอยู่กลางภูเขา น้ำในแม่น้ำใสสะอาดและคุณภาพดี มีปลาและกุ้งอยู่ทั่วทุกแห่ง

“เทพเซียว ท่านรู้ได้อย่างไรว่าประมุขน้อยแห่งรัฐไป๋ลู่อยู่ที่นี่?”

เฉินอี้ที่ยืนอยู่ปากทางเข้าภูเขา ก่อนจะเดินเข้าไปนั้น จู่ ๆ สมองของเขาก็สั่งการดีเยี่ยมและถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย

ข้ารู้ได้อย่างไรงั้นหรือ?

ข้าก็ชี้ไปมั่วซั่วน่ะสิ! ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน!

เซียวเฉวียนที่ถูกถามอย่างกระทันหันก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ชิงหลงทำราวกับกำลังดูละคร เขาดูว่าเซียวเฉวียนจะกุเรื่องอย่างไร

เฉินอี้และผู้นำคนอื่น ๆ มองเซียวเฉวียนตาปริบ ๆ รอคอยคำตอบของเซียวเฉวียน เฉินอี้ขมวดคิ้วแน่น “ภูเขาเต็มไปด้วยหมอก เส้นทางขรุขระเดินทางลำบาก และพวกเราก็ไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง ถนนสายนี้อันตรายอย่างยิ่ง หากพวกเราผลีผลามเข้าไปในภูเขา เกรงว่าพวกเราอาจไม่ได้กลับออกมาอีก”

ไร้สาระ หากไม่อันตรายข้าจะพาพวกเจ้ามาทำไมกัน?

เซียวเฉวียนเอือมระอาในใจ แต่กลับแสดงสีหน้าจริงจังออกมา เขาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกล่าวว่า “ข้าทำนายเอาไว้แล้ว”

ผู้คนต่างพากันขมวดคิ้ว

เขาพูดง่ายเหมือนซื้อกะหล่ำปลีตามถนน เฉินอี้แทบร้องไห้ “ท่าน...ท่านทำนายแม่นหรือไม่?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย