“แม่น”
เซียวเฉวียนสีหน้าจริงจัง เริ่มทำการเปิดฟังก์ชั่นกูเกิลพล่ามไปเรื่อย “ประมุขน้อยแห่งรัฐไป๋ลู่ เป็นถึงดวงดาวกุหลาบม่วงบนฟากฟ้า”
“ดวงดาวกุหลาบม่วง มีอีกชื่อคือดวงดาวแห่งจักรพรรดิ”
“ดวงดาวกุหลาบม่วงเป็นที่รู้จักในนาม “เจ้าแห่งการคำนวณดวงดาว” ดวงดาวกุหลาบม่วงก็คือ “ดวงดาวแห่งจักรพรรดิ” ดาวหลักประจำลัคนาคือผู้ที่มีความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณจักรพรรดิ กล่าวคือผู้ที่มีลัคนาราศีตรงตามจักรพรรดิ”
เซียวเฉวียนชี้ไปบนท้องฟ้า เฉินอี้และคนอื่น ๆ มองไปยังท้องฟ้าตอนกลางวันแสก ๆ ที่ไม่มีดาวสักดวง และฟังสิ่งที่เซียวเฉวียนเล่า “ดวงดาวกุหลาบม่วงก็คือดาวเหนือ ซึ่งหมายถึงดาวหลักของกลุ่มดาวหมีเล็ก กลุ่มดาวจระเข้ก็จะหมุนรอบมันตลอดสี่ฤดู ถ้าเปรียบท้องฟ้าเป็นกรวย เช่นนั้นดวงดาวกุหลาบม่วงก็คือยอดกรวยนั่นเอง”
พวกเฉินอี้ฟังด้วยความมึนงง แต่เซียวเฉวียนยังพูดต่อด้วยสีหน้าที่ลึกลับ “พวกเราจะเรียกบุคคล “ผู้ถูกดวงดาวกุหลาบม่วงล้อมรอบ” ว่าเป็นเทวดาลงมาจุติ แต่ขอบเขตดวงดาวที่ล้อมรอบมีเล็กใหญ่แตกต่างกัน หากเกิดในครอบครัวก็จะเป็นหัวหน้าครอบครัว หากเกิดในรัฐก็จะเป็นประมุขแห่งรัฐ หากเกิดในประเทศก็จะเป็นจักรพรรดิ”
“เมื่อวานข้าได้ย้ายดวงดาวกุหลาบม่วงไปยังทิศตะวันตก ประมุขน้อยของรัฐไป๋ลู่ต้องอยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่”
คนเหล่านี้จะเข้าใจหรือไม่ ไม่สำคัญเลย
สิ่งสำคัญคือในตอนที่เซียวเฉวียนเล่าเรื่องนั้น ท่าทางต้องหล่อเหลา
และแน่นอนว่า เซียวเฉวียนพูดจามั่วซั่วไปเรื่อยด้วยท่าทางจริงจัง เฉินอี้และคนอื่น ๆ ต่างก็ฟังไม่เข้าใจ แต่แสดงสีหน้าราวกับว่าเซียวเฉวียนยอดเยี่ยมมาก
“คำพูดของท่านเทพเซียวไม่มีผิดแน่! ที่นี่มีทั้งภูเขาและน้ำจึงเหมาะแก่การหลบซ่อน! พวกเราเข้าไปในหุบเขา!” เฉินอี้ตื่นเต้นเสียจนอารมณ์และน้ำเสียงเต็มไปด้วยความฮึกเหิม “พวกเรามีคนมาก! ไม่ต้องกลัว! กุดหัวประมุขน้อยแห่งรัฐไป๋ลู่! พวกเราก็จะเป็นอ๋องแห่งรัฐไป๋ลู่!”
เหล่าลูกกระจ๊อกต่างพากันโห่ร้องขึ้นมา “รัฐไป๋ลู่! รัฐไป๋ลู่! รัฐไป๋ลู่!”
เซียวเฉวียนเหลือบมองชิงหลงอย่างได้ใจ เป็นอย่างไรเล่า เรียนสายวิทย์มาดี ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัว
ชิงหลงแอบชูนิ้วโป้งให้ เลื่อมใส เลื่อมใส!
หากพูดว่าความไร้สาระของเซียวเฉวียน ทำให้ชิงหลงหูตากว้างไกล เช่นนั้นการทำลายของเซียวเฉวียนต่อจากนี้ ก็จะทำให้ชิงหลงเปิดโลกมากทีเดียว
เซียวเฉวียนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมเช่นเดียวกับเฉินอี้ “พวกเจ้าไปกันก่อนเลย! ข้าและชิงหลงจะตามประกบหลัง!”
“ห๋า? ท่านเทพเซียว ท่านไม่นำหน้าหรอกหรือ?” เฉินอี้กลับไม่ได้โง่เขลาไปเสียหมด เขาขมวดคิ้วราวกับมีบางสิ่งไม่ปกติ
เซียวเฉวียนจ้องไปที่เขาด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง “ข้าเป็นถึงเทพเซียนที่คอยชี้ทางให้พวกเจ้า เจ้ายังคิดให้ข้ามาเป็นกองหน้าให้พวกเจ้าอีกหรือ? พวกเจ้าไม่อยากมีหัวแล้วใช่หรือไม่?”
“ปิ้ว!”
พู่กันจินหลุนเฉียนคุนผุดออกมาจากแขนเสื้อของเขา ราวกับจะบิดหัวของเฉินอี้หากเขาไม่เห็นด้วย
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ยิ่งเราอ่อนน้อมถ่อมตนและต่ำต้อยมากเท่าไร ผู้คนก็จะคิดว่าเราเสแสร้งและไม่มีศักยภาพมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากเรายิ่งหยิ่งผยองมากเท่าไร ผู้คนก็จะยิ่งเกรงกลัวและหลบทางให้เรามากขึ้นเท่านั้น
เฉินอี้และเหล่าผู้นำผู้พเนจรในยุทธภพต่างก็ตกใจจนตัวสั่น “ไม่บังอาจ ๆ ท่านเทพเซียวโปรดอภัย”
หากอาศัยเพียงแค่หลอกลวงคงไม่ได้ เซียวเฉวียนส่งสายตาให้ชิงหลงนำอาวุธที่ได้เตรียมไว้ออกมา “นี่คือดาบเทพเซียนที่ใต้เท้าชิงหลงมอบให้พวกเจ้า อานุภาพน่าอัศจรรย์ และสามารถช่วยเจ้าขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ได้”
ดาบเล่มนี้เป็นดาบคู่กายของชิงหลงจริง ๆ มันแหลมคมอย่างไร้ที่ติ หากนำผมหนึ่งเส้นวางไว้ข้างดาบและใช้ปากเป่า ผมเส้นนั้นก็จะขาดในทันที ใช้การได้ดีกว่าดาบจิงหุนเสียอีก
ก่อนหน้านี้ชิงหลงไม่ยินยอมอย่างมาก เซียวเฉวียนบอกว่าเขาขี้งก คงไม่สามารถเอาพู่กันเฉียนคุนและภาพคุนหลุนให้แก่เฉินอี้ได้ เพราะเฉินอี้ไม่มีความรู้ จึงไม่อาจสั่งการพวกมันได้ ยังมีสิ่งใดสะดวกต่อเฉินอี้มากกว่าดาบเล่มนี้อีหรือไม่?
ดังนั้น ชิงหลงจึงทำได้เพียงยื่นดาบให้กับเฉินอี้
เฉินอี้ดีใจอย่างที่สุด นี่คือดาบของเซียนชิงหลงเชียวนะ!
ดาบนี้ทำจากโลหะจากเทือกเขาคุนหลุน ด้วยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ดาบชิงหลงเล่มนี้จึงบริสุทธิ์กว่าดาบทั้งหมดที่มีอยู่ของต้าเว่ย
ผู้พเนจรในยุทธภพมีความสามารถในการจำแนกดาบได้ดีที่สุด เฉินอี้พึงพอใจในดาบเล่มนี้ของชิงหลงอย่างมาก เมื่อรับมาแล้วก็ทั้งดูและจับไม่วางตา
เมื่อมีดาบของชิงหลง จิตวิญญาณการต่อสู้ของเฉินอี้ได้รับการปลุกเร้าอย่างมาก “ไป! ขึ้นเขากัน!”
สิ้นเสียงคำสั่งของเฉินอี้ ผู้พเนจรในยุทธภพจำนวนมหาศาล กำลังพลมากกว่าสามหมื่นคนก็เดินเข้าไปในป่าไร้นามแห่งนี้
จุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ เพื่อกำจัดผู้นำผู้พเนจรในยุทธภพและอีกสามหมื่นคน ยกเว้นเฉินอี้
ผู้พเนจรในยุทธภพต่างมีพรรค ชื่อและฉายานาม และผู้นำเป็นของตนเอง แต่ถึงกระนั้นความสามัคคีของผู้พเนจรในยุทธภพกลับไม่แข็งแกร่งมากพอ เพราะนอกจากความสามารถนิดหน่อยของผู้นำ ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีกเลย ดังนั้นผู้ที่เลี้ยงดูผู้พเนจรในยุทธภพมักเป็นจวนเจ้าผู้ครองรัฐ
ครานี้ แม้แต่เซียวเฉวียนยังรู้สึกว่าซือชือและเว่ยเชียนชิวเฉลียวฉลาดอย่างมาก พวกเขาใช้เพียงเงินทองก็สามารถตะครุบผู้พเนจรในยุทธภพเสียอยู่หมัด
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน นั่นก็คือหากมีผู้อื่นที่มีเงินเหมือนกัน ก็สามารถดูแลและควบคุมคนกลุ่มนี้ได้
จากการสำรวจนับหลายวันของเซียวเฉวียน เขาพบว่าเฉินอี้ควบคุมง่ายที่สุด ผนวกกับเขามีบารมีและชื่อเสียงมากที่สุด ดังนั้นในผู้นำทั้งหกเจ็ดพรรคนั้น เซียวเฉวียนตั้งใจจะเก็บเขาไว้
จำเป็นต้องมีเฉินอี้อยู่ จึงจะสามารถนำผู้พเนจรในยุทธภพไปสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักได้อย่างราบรื่น และเพื่อใช้ในกิจของต้าเว่ยด้วย
เฉินอี้และคนอื่น ๆ เดินเข้าไปในป่าอย่างองอาจและฮึกเหิม เซียวเฉวียนและชิงหลงมองตามอยู่ข้างหลัง
“ไปเถอะ” ท้ายสุดของแถว ชิงหลงตั้งท่าจะเดินตามไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...