สรุปเนื้อหา บทที่ 452 ค่ายกลที่แท้จริง – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 452 ค่ายกลที่แท้จริง ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพฉินเซิงหาใช่คนที่ชอบพูดโป้ปดไม่ บางทีที่นั่นอาจจะเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริง กวีสมุทรคุนหลุนหาใช่สิ่งที่มนุษย์เช่นเราจะเข้าถึงตัวได้ง่าย ๆ ไม่ อีกทั้งเซียวเฉวียนก็ยังเด็กมากนัก…”
ขันทีหม่าเอ่ยตอบด้วยท่าทีระมัดระวัง ฝ่าบาทที่มีท่าทีผิดหวังนั้น จึงได้พยักหน้าลงน้อย ๆ "อื้ม พวกเจ้าออกไปเถอะ เจิ้นจักอยู่เงียบ ๆ คนเดียวครู่หนึ่ง"
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหม่าจึงโค้งกายทำความเคารพก่อนจะค่อย ๆ เดินจากไป
หลงเหลือไว้เพียงฝ่าบาทที่นั่งเหม่อลอยอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่เพียงผู้เดียว
ภายใต้ความเงียบที่ค่อย ๆ คืบคลานมานั้น ฝ่าบาทหาได้เอ่ยอันใดออกมาอีกไม่ พร้อมทั้งกำหมัดในมือเอาไว้แน่น แม้แต่นัยน์ตาของพระองค์ก็มิได้เปล่งประกายเช่นเดิมอีก
จวนเจียนกั๋ว
“เซียวเฉวียนกำลังจะกลับมาแล้วงั้นหรือ?”
เว่ยเชียนชิวหาได้เคยเข้าไปฟังการว่าความยามเช้าไม่ เรื่องราวในราชสำนักนั้น มิว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ล้วนแต่เป็นเหลียงไหวโหรวที่เอามารายงานให้เว่ยเชียนชิวฟังทั้งนั้น
หากจะบอกว่าเขามิตกใจนั้น ก็คงจะโกหก
นับตั้งแต่ที่ต้าเว่ยสถาปนาตนเองขึ้นมาได้สี่สิบสองปีเช่นนี้ มีผู้คนหลายสิบคนหรือนับร้อยคนที่ถูกจักรพรรดิเนรเทศออกนอกแคว้น ทว่า หาได้มีผู้ใดสามารถกลับเข้ามาในเมืองหลวงได้อีกไม่
ทั้งยังมิมีผู้ใด กลับเข้ามาได้อย่างรวดเร็วเท่ากับเซียวเฉวียนอีกแล้ว
ศึกสงครามที่รัฐไป๋ลู่ในครานี้ ดูเสมือนกับว่าเซียวเฉวียนและฉินเซิงจะเอาชนะมาได้ง่ายดายเกินไปนัก
ง่ายดายเสียจนทำเอาเว่ยเชียนชิวถึงกับต้องประหลาดใจออกมา
กลุ่มเหล่าจอมยุทธ์ที่มิเคยจัดการพวกเขาได้ง่าย ๆ ทั้งยังมิอาจต่อกรกับพวกเขาได้อีกนั้น
พวกมันทั้งหมดล้วนแต่เหล่าหมาป่าชั่วร้ายที่เว่ยเชียนชิวและซือชือเลี้ยงดูเอาไว้
หากแต่ในยามนี้ เหล่าหมาป่าชั่วร้ายพวกนั้น กลับมาถูกเซียวเฉวียนปราบปรามลงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะมีความสามารถเพียงใด เขาก็ไม่มีทางที่จะสามารถเอาชนะเหล่าจอมยุทธ์ไปได้หรอก อีกทั้งพละกำลังที่ไร้ประโยชน์ของค่ายทหารหนานโตวนั้น เขานับว่าคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
ฉินเซิงกล่าวว่าเซียวเฉวียนมิได้ใกล้ชิดสัมผัสกับกวีสมุทรคุนหลุนนั้น ฉินเซิงคงมิได้โกหกใช่หรือไม่?
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ สายลับที่คอยแฝงตัวอยู่รัฐไป๋ลู่ยังกล่าวอีกว่า เซียวเฉวียนมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้แต่สายลับพวกนั้นก็ยังโกหกเขาด้วยเช่นกัน?
ไม่ มันเป็นไปไม่ได้...
เว่ยเชียนชิวเชื่อใจสายลับที่เขาชุบเลี้ยงมาโดยตลอด
หาใช่สายลับเหล่านั้นโกหกไม่ หากแต่ในครานี้ ภายนอกนั้นเซียวเฉวียนแสดงออกไปว่าตนมิได้ข้องเกี่ยวหรือยุ่งกับกวีสมุทรคุนหลุนเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทำท่าทีเฉยเมยเป็นปกติธรรมดา
เซียวเฉวียนระดมกำลังพลของผู้อารักขานับหมื่น ผู้อารักขาที่เคลื่อนไหวกำลังพลรวดเร็วเช่นนี้ ถึงอย่างไรสายลับเหล่านั้นย่อมมิอาจเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ
รวมไปถึงในครานั้นยังมีลมฝนกระโชกแรงอีก ทำให้ทัศนวิสัยของเหล่าสายลับพวกนั้นมิอาจมองเห็นได้ พวกเขาจึงได้ยินแต่เพียงผู้อารักขากล่าวว่า "ฆ่ามัน" พร้อมทั้งเสียงที่ดังตามมาว่า "พุ่งเข้าไป" พร้อมกับเสียงที่ดังกัมปนาท "ตู้ม" เสมือนกับเสียงของภูเขาที่กำลังพังทลายลงมา
ยังมิทันที่เหล่าสายลับจักได้สติกลับมา ก็พลันถูกฉินเซิงร้องตะโกนใส่ในทันที พร้อมกับพวกเขาที่ถูกบังคับให้ขุดดินเพื่อช่วยผู้คน
สำหรับเซียวเฉวียนผู้ที่สัมผัสกับกวีสมุทรคุนหลุนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจักถูกสายลับคอยจับต้องมองดูอยู่ตลอดเวลา ทว่าเหล่าสายลับพวกนั้นโง่เขลายิ่งนัก ย่อมมิอาจมองออกว่า ผู้ใดสัมผัสและเกี่ยวข้องกับกวีสมุทรคุนหลุนนั้นมีท่าทีเช่นไร
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เสมือนกับเว่ยเชียนชิวสั่งให้คนตาบอดมาจับตามองดูเซียวเฉวียนก็ไม่ปาน
หากเซียวเฉวียนรู้เรื่องนี้ละก็ เขาคงจะหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่เป็นแน่
ทว่า เหล่าสายลับหาได้โง่เง่าไปเสียทั้งหมด พวกเขาเองก็ได้เขียนพรรณนานาคร่าว ๆ ให้กับเว่ยเชียนชิวได้รู้ถึงสถานการณ์ของสงครามที่เกิดขึ้น พร้อมกับพู่กันจินหลุนเฉียนคุนและภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิแห่งเขาคุนหลุนแทน
เช่นนี้เว่ยเชียนชิวจึงอดที่จะมองเซียวเฉวียนอย่างจริงจังขึ้นมามิได้
เยี่ยมจริงๆ เซียวเฉวียนมิเพียงมียาที่เป็นอมตะไม่พอ เขายังได้ครอบครองอาวุธโบราณถึงสองชิ้นอีกด้วย!
มิแปลกใจเลย เหตุใดความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยชิงและเซียวเฉวียนที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันถึงได้ไม่ถูกกันเช่นนั้น ที่แท้ปีศาจกวีเอาแต่มอบของดีๆ ให้กับเซียวเฉวียนนั่นเอง!
หากเว่ยชิงมิตายไปก่อนละก็ เว่ยเชียนชิวคงจะทุบตีเว่ยชิงจนตายไปแล้ว!
เว่ยชิงที่รู้ว่าเซียวเฉวียนครอบครองอาวุธเหล่านี้มาตั้งนานแล้วนั้น ทว่า เว่ยชิงหาได้ยอมบอกกับเขาไม่! ทั้งยังเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้กับตัวอีก!
หากมิใช่เซียวเฉวียนนำอาวุธเหล่านี้ออกมาในระหว่างการต่อสู้ของสงครามที่รัฐไป๋ลู่นั้น เว่ยเชียนชิวก็ยังคงมิรู้เรื่องราวอันใดจนถึงตอนนี้!
“หากเจียนกั๋วชื่นชอบเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราไปแย่งชิงมันมาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ภายในใจของเหลียงไหวโหรวรู้สึกอิจฉาตาร้อนยิ่งนัก ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจักเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ตาม
"ไม่ได้!" เว่ยเชียนชิวพลันส่ายหัวไปมา "นี่คืออาวุธของคุนหลุน พวกมันจักต้องรับเซียวเฉวียนเป็นนายไปแล้วอย่างแน่นอนเลย ถึงได้ยินยอมให้เซียวเฉวียนใช้งานพวกมันเช่นนี้ หากพวกเราจักไปขโมยมันมาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์"
“เช่นนั้น ท่านเจียนกั๋วหมายความว่า...”
“ในเมื่อเซียวเฉวียนกำลังกลับมา เช่นนั้นแล้วทุกอย่างคงจะจัดการได้ง่ายดายขึ้น เขาที่ถูกองค์จักรพรรดิเนรเทศออกไปเช่นนี้ ภายในใจย่อมรู้สึกโกรธเกลียดฝ่าบาทมิน้อย ฉะนั้นแล้วเขาต้องยอมเข้าร่วมกับพวกเราอย่างแน่นอน”
“เดิมทีข้าคิดว่าเซียวเฉวียนเป็นเพียงบัณฑิตที่มีกลิ่นคาวฉาวโฉ่เท่านั้น ไม่ว่าเขาจักมีความสามารถมากเพียงใด ทว่าเขาหาได้เหมือนผู้อื่นไม่” เว่ยเฉียนชิวลูบเคราของตนเอง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีพึงพอใจว่า “ในเมื่อเขาสามารถออกมาจากเกาะจูเสินได้นั้น ทั้งยังสามารถนำทัพออกรบจนได้ชัยชนะกลับมาอีก เขาย่อมมีความพิเศษกว่าผู้อื่น”
ถึงแม้ว่าในยามนี้เขาจักขึ้นเป็นขุนนางขั้นห้าแล้วก็ตาม ทว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในราชสำนักนั้น เขาก็ยังคงตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นอยู่เสมอ
บางทีปีศาจกวีอาจจะเล็งเห็นเรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะขัดความปรารถนาของคนทุกคน พร้อมทั้งมอบตำแหน่งประมุขแห่งชิงหยวนให้แก่เซียวเฉวียนแทน
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้เซียวเฉวียนมีตำแหน่งหน้าที่ราชสำนักบ้าง หากเขาต้องการที่จะปกป้องเหล่าปัญญาชนหรือขุนนางบัณฑิตคนใด เช่นนี้เซียวเฉวียนก็จักได้รับความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ
ในเมื่อเหล่าเสือสิงห์เหล่านี้สามารถทำร้ายบัณฑิตที่เข้าสอบได้ทุกครั้งนั้น เช่นนั้นแล้วการสอบขุนนางระดับเคอจี่ในปีนี้ คนพวกนี้ก็จักต้องยื่นมือเข้ามาอย่างแน่นอน
นอกจากฉินหลังที่เซียวเฉวียนสามารถจัดการเขาได้ด้วยตนเองนั้น คนอื่น ๆ ผู้ใดที่ยื่นมือมาคลำเครือหาแตง คนผู้นั้นย่อมต้องตาย
ฉะนั้นแล้ว การกลับมาของเซียวเฉวียนในครานี้ เขาหาได้กลับมาเฉย ๆ ไม่
หากเขามีชีวิตอยู่ละก็ เขาย่อมมิปล่อยชีวิตให้อยู่ไปเปล่าประโยชน์
เขาจักทำให้เหล่าผู้มีอำนาจที่นั่งอยู่บนต้าเว่ยต้องสั่นคลอน!
เขาจักทำให้ผู้คนที่คอยเอาแต่รังแกข่มเหงผู้อื่น มีจุดจบที่ไม่ดี!
เขาจักทำให้ลูกหลานตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ที่เอาแต่ถือดีเช่นฉินซูโหรวและฉินเฟิงนั้น ไม่กล้าที่จะอวดดีอีกต่อไป!
อำนาจอะไรกัน!
ค่ายอะไรกัน!
ตำแหน่งหน้าที่อันใดกัน!
เซียวเฉวียนสะบัดความคิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตทิ้งไป เดิมทีเขาคิดมาโดยตลอดว่า หากตนเองมิได้ยืนข้างฝ่าบาทนั้น เขาก็คงยืนข้างเว่ยเชียนชิว ดังนั้นแล้วเขาจึงทำตามแต่ใจตนเองมาโดยตลอด ทั้งยังยอมจำนนต่อพวกเขาทุกวิถีทางอีกด้วย
ทว่า หลังจากที่เขาได้สัมผัสกับกวีนิพนธ์คุนหลุนแล้วนั้น เขาจักไปยืนหยัดข้างกายฝ่าบาทกับเว่ยเฉียนชิวเพื่ออะไรกัน?
ราชสำนักที่แปดเปื้อนโสมมเช่นนี้ พร้อมกับกษัตริย์ที่ขี้ขลาดตาขาวและไร้ความสามารถ เหล่าผู้มีอำนาจที่ละโมบโลภมากในอำนาจของตน เซียวเฉวียนมิเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย!
ชิงหยวนคือค่ายที่แท้จริงของเซียวเฉวียน!
เหล่าปัญญาชนคือสหายที่แท้จริงของเซียวเฉวียน!
เหล่าผู้อารักขาคือพลังที่แท้จริงของเซียวเฉวียน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...