“ใต้เท้าเซียว ตั้งสมาธิ ตั้งจิตให้มั่น!”
เสียงของชิงหลงดังขึ้นในหัวของเซียวเฉวียน
“พู่กันเฉียนคุนเป็นเจ้าแห่งภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิ และภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิก็เป็นเจ้าแห่งเซี่ยวเฟิง!
“เพียงใช้พู่กันเฉียนคุนให้ดี เจ้าก็จะสามารถกำราบเซี่ยวเฟิงได้อย่างแท้จริง!”
“แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ พวกเราไม่สนใจว่าพู่กันเฉียนคุนจะเป็นอย่างไร เจ้าท่องคาถานี้เพื่อสยบเซี่ยวเฟิงเสียก่อน!”
“ได้… เร็วเข้าสิ...” เซียวเฉวียนพยักหน้า ชิงหลงอายุยังน้อย เหตุใดจึงได้พูดมากเช่นนี้!
“คาถานี้ค่อนข้างยาว แต่เจ้าต้องจำให้ได้! และสามารถท่องคาถาได้เพียงครั้งเดียว! หากท่องไม่คล่องแคล่วก็จะใช้การไม่ได้!”
เซี่ยวเฟิงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกวีสมุทรคุนหลุน แน่นอนว่าต้องสัมพันธ์กับบทกวี
เซี่ยวเฟิงเป็นสัตว์ที่เก่าแก่มาก และเลื่องชื่อในเทือกเขาคุนหลุน
ทว่าในภายหลัง เซี่ยวเฟิงถูกปีศาจกวีจับตัวไปเพื่อใช้เป็นสัตว์สงครามของต้าเว่ย
ตามตำนานเล่าว่า เซี่ยวเฟิงเป็นพลังงานของกวีสมุทรคุนหลุน ซึ่งพลังแห่งบทกวีสมุทรจะปะทุออกมาจากบทกวีแต่ละบท
และเซี่ยวเฟิงก็เกิดขึ้นมาจากหนึ่งในบทกวีเหล่านั้น
ได้ยินเพียงเสียงชิงหลง ที่ท่องคาถาดังกังวานและทรงพลัง เขาตั้งใจท่องอย่างช้า ๆ เพื่อให้เซียวเฉวียนได้ยินอย่างชัดเจน
“ผืนป่าทึบทั้งอุดรและทักษิณ เสือสมิงลายขาวย่างเท้าไกล
ออกตามล่าหาเหยื่อในป่าใหญ่ เทือกเขาไร้แม้เสียงของเลียงผา”
แปลออกมาได้ว่า : หุบเขาทางเหนือและใต้ล้วนเต็มไปด้วยป่าทึบ ยังมีเสือตัวสีขาวเดินวนเวียนอยู่รอบป่า พอตกค่ำเสือก็จะออกตามล่าเหยื่อที่เป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในหุบเขาจึงเงียบสงบไร้ซึ่งเสียงของสัตว์อย่างกวางหมีลู่
อะไรกัน? นี่คือคาถางั้นหรือ?
เซียวเฉวียนที่หูตั้งผึ่ง ปวดหัวอย่างไม่อาจทนไหว สุดท้ายเป็นบทลำนำร่วมที่มีชื่อว่า “การเดินทางของเสือร้าย” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของจังจี๋ ผู้ประพันธ์กลอนในราชวงศ์ถังของฮว๋าเซี่ย
“ให้ตายเถอะ! คราวหลังก็รีบบอกสิ! บทนี้ข้าท่องเป็น!”
เซียวเฉวียนที่ปวดหัวอย่างทนไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะตีชิงหลงหนึ่งที!
เซี่ยวเฟิงได้ยินชิงหลงท่องคาถาออกมา มันก็ยิ่งฟุ้งพล่าน! แผดเสียงคำรามไปยังชิงหลง ลมลูกใหญ่พัดชิงหลงปลิว ชิงหลงรีบหลบด้วยความว่องไวและลมก็พุ่งใส่ต้นไม้จนหักโค่น!
สัตว์ร้าย!
สัตว์ร้าย!
หากเซี่ยวเฟิงไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของตัวเอง เซียวเฉวียนคงตบมันให้ตายจริง ๆ!
ได้ยินเสียงของเซียวเฉวียนท่องคาถาต่อ: “ออกตามล่าหาเหยื่อในป่าใหญ่ เทือกเขาไร้แม้เสียงของเลียงผา
...
ชายผู้กล้าเก่งกาจยังปราณี เสือร้ายทิ้งฝีเท้าไว้ให้เชยชม”
เนื้อความของบทกวีตอนหลังกล่าวว่า : ในทุกปีเสือจะทำการสืบพันธุ์ในหุบเขาลึก ตัวผู้และตัวเมียต่างอยู่รวมกันเป็นฝูง
ห่างไกลจากถ้ำเสือยังมีหมู่บ้านติดริมเขา เสือร้ายมักจะออกล่าวัวเหลืองของชาวบ้าน
ชายหนุ่มผู้กล้าหาญและช่ำชองการขี่ม้ายิงธนูยังไม่กล้ายิงมัน ทำได้เพียงมองตามรอยเท้าที่เสือทิ้งไว้ใต้หุบเขาให้ดูต่างหน้า
บทกวีทั้งบทเขียนถึงภาพเหตุการณ์ของเสือร้ายที่ทำร้ายชาวบ้าน แต่จริง ๆ แล้วหมายจะเขียนถึงเนื้อหาเกี่ยวกับผู้มีบารมีชั่วร้ายที่แผลงฤทธิ์ในสังคม และให้ความรู้แก่ผู้คนให้เข้าใจความเป็นจริง
มีการใช้เสือร้ายเขียนไว้ทุกช่วงตอนในบทกวี แต่ละประโยคเป็นการอุปมาถึงบุคคลและเหตุการณ์ การอุปมามีความเหมาะสมกับสภาพบ้านเมือง เป็นการพรรณาที่มีชีวิตชีวาและสื่อความหมายลึกซึ้ง
ประโยคสุดท้าย “ชายผู้กล้าเก่งกาจยังปราณี เสือร้ายทิ้งฝีเท้าไว้ให้เชยชม” สองประโยคนี้แปลว่าเสือเหล่านี้ทำสิ่งชั่วร้ายมากมาย และแม้แต่เหล่าผู้ที่เลื่องชื่อลือนามว่าขี่ม้ายิงธนูได้ก็ยังไม่กล้าต่อกลอนกับมัน เพียงแค่มาในป่าเพื่อดูรอยเท้าของมันเท่านั้น
แต่ในความจริงเป็นการเสียดสีราชสำนักที่ปล่อยปละละเลยความผิดและคนชั่ว เพื่ออำพรางซ่อนเร้น วางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน เสแสร้งหลอกลวง
“ทิ้งฝีเท้าไว้ให้เชยชม” เต็มไปด้วยคำเสียดสีที่เผ็ดร้อนแสบสัน
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เซี่ยวเฟิงมักจะฟุ้งพล่านเช่นนี้อยู่เสมอ
มันแปลงกายมาจากบทกวีที่มีความเผ็ดร้อนในทุกท่อน เซี่ยวเฟิงจะไม่ฟุ้งพล่านได้อย่างไร?
เซียวเฉวียนท่องกวีจนจบบท ชิงหลงตะโกนเสียงดัง “ท่องตามข้า กลายร่าง!”
“กลายร่าง!” เซียวเฉวียนตะคอกเสียงกร้าว!
“โฮก ๆ ๆ!”
เห็นเพียงแสงสีขาวปกคลุมตัวของเซี่ยวเฟิงไว้ ในที่สุดก็สิ้นเสียงร้องโวยวายของเซี่ยวเฟิง
เดิมทีมันมีร่างกายใหญ่โตและดุร้าย แต่ทันใดนั้นก็มีขนาดตัวเล็กลงท่ามกลางแสงสีขาว และเสียงร้องของมันก็ไม่ดุร้ายอีกต่อไป
“ตูม”
ดวงตาของเซียวเฉวียนแดงก่ำ!
แดงจนแทบไหลออกมาเป็นสายเลือด!
อีกด้าน ฉินซูโหรวที่หายจากอาการเจ็บปวดมาเห็นเหตุการณ์เข้า ก็ตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ “เซียวเฉวียน! นี่มันไม่จริงนะ! ของสิ่งนี้มันใส่ความข้า! มันใส่ความข้านะ!”
“ข้าไม่ได้ทำ! ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย!”
ขณะนั้นเอง ภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิแห่งเขาคุนหลุนก็ได้เปิดเสียงของฉินซูโหรวและหงอวี้ต่อ
“ดี ดูสิว่าเจ้าจะเถียงกับข้าอย่างไร เซียวเฉวียน”
“นายหญิง พวกนาง...ไม่ได้ลอยขึ้นมา”
“ไม่เป็นไร ต่อให้โผล่ออกไปด้านนอก อย่างไรก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัยเลย หากพบว่าศพอยู่ด้านนอก เมื่อเซียวเฉวียนถามขึ้นมา ก็จะยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่น้อย”
“นายหญิงพูดถูกต้องเพคะ”
“เจ้าไปเสียเถอะ ข้าจะไปทำอาหารให้เซียวเฉวียนแล้ว”
เสียงที่ภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิเปิดออกมา ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
ฉินซูโหรวไม่มีข้อถกเถียง
เหมิงเอ้าโกรธเสียจนตะคอกออกมาเสียงกร้าว “เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่! เจ้ากล้าทำร้ายองค์หญิงเชียวหรือ!”
ขณะนั้น แม่เซียวที่รีบวิ่งเข้ามาก็ได้ยินบทสนทนาที่ทำให้ใจสลาย นางชี้ไปยังฉินซูโหรว “ก่อเวรก่อกรรมเสียจริง! เหตุใดตระกูลเซียวของเราจึงต้องประสบพบเจอกับหญิงใจบาปเยี่ยงเจ้าด้วย!”
“ข้าไม่ได้ทำ! อีกอย่างมันมีเพียงแค่เสียงจะนับว่าเป็นหลักฐานได้อย่างไร!” ฉินซูโหรวส่ายหัว “มีผู้ใดเห็นหรือไม่? ภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิก็เป็นแค่เพียงอาวุธเท่านั้น! ไม่แน่ว่ามันอาจเลียนเสียงของข้าและหงอวี้ เพื่อใส่ความข้า!”
“เจ้าเป็นผู้ที่ความทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ”
ขณะนั้น ชิงหลงที่เงียบอยู่ตลอด จู่ ๆ ก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
แม้ว่าภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิจะมีแค่เสียง แต่พู่กันเฉียนคุนวาดออกมาได้ทุกสิ่ง ฉินซูโหรวอยากได้หลักฐานมิใช่หรือ?
ชิงหลงกระซิบบางสิ่งข้างหูเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนสายตาเยือกเย็น “อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“พู่กันเฉียนคุน! มานี่!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...