ผนึกจูเสิน!
คนเช่นฉินหลังที่เคยพบเห็นโลกกว้าง รู้ถึงการมีอยู่ของผนึกจูเสิน เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่า เหตุใดมันจึงปรากฏออกมากระทันหันเช่นนี้?
ผนึกสีแดงขนาดใหญ่หมุนวนอยู่บนท้องฟ้า คลื่นทะเลโหมซัดสาดและคลื่นซัดสูงตระหง่านเสียดฟ้า
ฉินหลังตะลึง ท่ามกลางพายุกรรโชกแรงและคลื่นที่ซัดสาดเสียดฟ้า เขากลัวจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่ไกลจากตรงนั้น มีผู้หนึ่งลอยอยู่เหนือผืนทะเล ทันทีที่ผนึกจูเสินปรากฏขึ้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาได้รวดเร็วเช่นนี้ มีเพียงชิงหลงเท่านั้น
เขามองดูเหตุการณ์ฉากนี้ด้วยความดีใจเล็กน้อย ผนึกจูเสินมีรอยแตกร้าว!
เพียงแต่รอยแตกนี้มีขนาดเล็กมาก เล็กจนแทบไม่สะดุดสายตา และเป็นรอยแตกที่ตำแหน่งด้านข้างนิดหน่อยเท่านั้น
เสียงของผนึกจูเสินที่แตกร้าวราวกับเสียงของกระดิ่งลม เปรียบเสมือนฝนเดือนมีนาคมในฤดูใบไม้ผลิที่ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง ๆ ดุจหยาดน้ำค้างจากเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้า ตกลงสู่โลกและร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
ไพเราะน่าฟังและชวนให้หลงใหลอย่างที่สุด
มีเพียงรอยแตกร้าวเล็ก ๆ และเสียงที่เบาเพียงเท่านั้น ชิงหลงกลับมองเห็นและได้ยิน!
เขาดีใจแทบบ้า!
หนึ่งพันปีที่ผ่านมา ผนึกจูเสินแข็งแกร่งประดุจหินผา แน่นหนาทนทานไม่อาจทำลายได้ บรรพบุรุษของชิงหลงพยายามทำทุกวิธีทาง ถึงขั้นเซ่นไหว้ตัวเอง แต่ก็ไม่อาจทำให้ผนึกจูเสินสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย
วันนี้!
มันแตกแล้ว!
แม้จะเป็นเพียงรอยแตกที่น้อยนิด แต่มันคือจุดเริ่มต้น!
เพียงผนึกจูเสินแตก ชาวคุนหลุนก็จะหลุดออกจากการคุมขังของผนึกจูเสิน!
ไม่ว่าชาวเทือกเขาคุนหลุนหรือทาสคุนหลุน ก็จะไม่ต้องทนรับพลังใด ๆ หรือการผูกมัดของผู้คนอีกต่อไป พวกเขายังสามารถยกทัพจับศึกทั่วใต้หล้า!
ชิงหลงตื่นเต้นเสียจนน้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตา!
เซียวเฉวียนจักต้องทำบางสิ่งเป็นแน่!
ต้องเป็นเขาแน่นอนที่สามารถทำให้ผนึกจูเสินเกิดการเปลี่ยนแปลง!
“นี่! ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย! ข้าอยู่ตรงนี้!”
ฉินหลังเห็นใครบางคนอยู่ไม่ไกลนัก เขาโบกมืออย่างสุดชีวิตและตะโกนว่า “เห็นข้าหรือไม่! ข้าอยู่ตรงนี้! ช่วยข้าด้วย! ข้ามีเงิน! มีตำแหน่ง! ข้าให้ทุกอย่างเจ้าได้นะ!”
“เห็นหรือไม่? นี่! นี่!”
“นี่? อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไป! กลับมา! กลับมา!”
ชิงหลงได้ยินเสียงของฉินหลัง พลางหายตัววับไปในทันทีและไม่ได้สนใจเขาเลย
ทว่าไม่เจอกันเพียงสองวัน ฉินหลังดูอิดโรยลงไปมาก
เซียวเฉวียนเนรเทศเขา ก็เพื่อให้เขาลำบากเหมือนที่เสิ่นฉีเคยลำบากมาก่อน
เซียวเฉวียนอยากให้เขาลิ้มรสการหลับนอนที่ยากลำบากเช่นเดียวกับเสิ่นฉี อยากให้เขาวิตกกังวลเช่นเดียวกับเสิ่นฉี ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกสัตว์ร้ายกินเข้าไปเมื่อใด
การใช้วิธีของฝ่ายตรงข้ามมาตอบโต้ คือสิ่งที่ทำให้คนเสียใจและหวาดกลัวที่สุด
ภายใต้ความมืดในยามราตรี ฉินหลังกอดไหล่ของเขาแน่น และในหูของเขาได้ยินเพียงเสียงสัตว์ป่าที่ร้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชายวัยกลางคนที่มีวิชาความรู้ลุ่มลึกบุคลิกลักษณะสง่าสง่า ไม่สามารถฝืนทนได้อีกต่อไป เขาจึงร้องไห้ออกมาเสียงดังแง ๆ
ณ เมืองหลวง
พระราชวังมีแสงไฟสว่างจ้า
เซียวเฉวียนป่วยอย่างกระทันหัน ฮ่องเต้จึงสั่งให้หมอหลวง ข้าหลวงหญิง และขันทีคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง
แม้แต่หลี่มู่ที่อยู่กองราชองครักษ์ก็ถูกเรียกเข้ามา
หลี่มู่เข้ามาอย่างเร่งรีบ นับตั้งแต่เซียวเฉวียนกลับมาจากเกาะจูเสิน พวกเขายังไม่ได้พบกันเลย เพราะว่าเซียวเฉวียนมัวยุ่งอยู่ตลอด
คาดไม่ถึงว่าการมาเจอกันในครั้งนี้ เซียวเฉวียนกลับป่วยหนักเสียได้
กลางระหว่างคิ้วของเซียวเฉวียนมีรอยเลือด สีหน้าซีดขาว ทว่าเขากลับไม่ได้สลบและหมดสติไป เพียงแค่นั่งเหงื่อตกอยู่บนเก้าอี้เท่านั้น
หมอหลวงทั้งหมดในพระราชวังต่างพากันเข้าแถว เพื่อตรวจชีพจรให้แก่เซียวเฉวียน แต่สุดท้ายหมอหลวงแต่ละคนก็ไม่สามารถล่วงรู้อาการป่วยได้
นั่นคือฝ่ามือที่อบอุ่นขององค์หญิงสินะ
มีเพียงมือขององค์หญิงที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้เช่นนี้
แม้เซียวเฉวียนจะมองหน้านางได้ไม่ชัดและไม่อาจได้ยินเสียงเรียกของนาง แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ มือเล็ก ๆ ที่ประสานนิ้วทั้งสิบของเขาไว้แน่น เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความวิตกกังวล
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” ฮ่องเต้โกรธโมโหใหญ่โต “พวกเจ้าเป็นหมอกันมานานหลายปี สำนักแพทย์หลวงได้รับเงินเดือนที่สูงเช่นนี้ แต่กลับไร้ผู้มีปัญญา!”
“ฝ่าบาทโปรดอภัย! ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ด้วย!”
เหล่าหมอหลวงใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง พลางหมอบลงที่พื้น “หม่อมฉันทั้งหลายไร้ความปรีชาสามารถ! ฝ่าบาทได้โปรดอภัยให้ด้วย!”
ฮ่องเต้หัวเสียอย่างมาก อภัยให้แล้วอย่างไรเล่า! สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือช่วยเซียวเฉวียนให้ได้!
เซียวเฉวียนก็เข้มแข็งมากเช่นกัน ถึงตอนนี้ เขายังกำพู่กันจินหลุนเฉียนคุนไว้ในมือแน่น พยายามที่จะเขียนชื่อคนสุดท้ายในแปดคนนั้น
เขาพึมพำอย่างไม่ชัดเจน “เหลืออีกหนึ่ง... ชื่อสุดท้าย...”
ลูกศิษย์ของปีศาจกวี ช่างดื้อรั้นไม่ต่างจากปีศาจกวีเลยเสียจริง!
“ฝ่าบาท หม่อมฉันจำได้ว่าตระกูลฉินมีแพทย์ทหารผู้หนึ่ง ที่มีฝีมือในการรักษา ควรจะเชิญเขามาดีหรือไม่พะยะค่ะ” ขันทีหม่าที่จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้ได้จึงรีบทูลเตือนต่อฝ่าบาท “คนผู้นี้อยู่ในการทหารมานานหลายปี และรักษาทหารไปจำนวนไม่น้อย น่าจะเคยเห็นอาการที่ใต้เท้าเซียวเป็นอยู่”
“นำตราคำสั่งของข้าไป และรีบเชิญมาให้ไวที่สุด!”
“พะยะค่ะ! หม่อมฉันจะรุดหน้าไปยังจวนฉินก่อน!” ทันทีที่ฮ่องเต้สะบัดชายแขนเสื้อ ขันทีหม่าก็รับตราคำสั่งและออกเดินทางในทันใด
จวนฉิน?
เซียวเฉวียนไม่ได้ยินคำอื่น เขากลับได้ยินคำว่าจวนฉินสองคำนี้ที่เขารังเกียจที่สุด
ไม่ เขาและจวนฉินได้ตัดขาดออกจากกันแล้ว เขาไม่ต้องการให้จวนฉินช่วย!
“การดาษ…”
เซียวเฉวียนพูดพึมพัมไม่ชัดเจน เขาต้องการจะเขียนชื่อสุดท้าย : ข่งเฉิงเย่
“เซียวเฉวียน! เหตุใดเจ้าจึงดึงดันทำตามใจตนเองเช่นนี้!” ฮ่องเต้โกรธมาก เขายังคงต้องการเซียวเฉวียนอยู่ หากเซียวเฉวียนตายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เขาที่เป็นผู้สนับสนุนมาตลอดก็คงไม่อาจยอมทำใจได้!
ขณะนั้นเอง มือที่อ่อนปวกเปียกคู่หนึ่งก็ยื่นกระดาษให้เขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความเข้าใจ พร้อมเสียงสะอื้น “ท่านสามี เขียนสิ”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...