แท้จริงแล้ว การเข้าวังของแม่ฉินในครั้งนี้ ก็เพื่อแจ้งให้ขุนนางที่ปรึกษาได้รับทราบ
ขุนนางที่ปรึกษา กล่าวคือขุนนางที่คอยชี้แนะกษัตริย์ เกี่ยวกับความผิดของพระองค์โดยตรงและทำการแก้ไขให้ถูกต้อง
ขุนนางที่ปรึกษามีอำนาจที่กว้างขวางและสำคัญยิ่งนัก เช่นการชี้แนะตักเตือนฮ่องเต้ ควบคุมคำพูด การกล่าวโทษขุนนาง การตรวจสอบพื้นที่เป็นต้น ครอบคลุมทุกระดับตั้งแต่เมืองหลวงจวบจนศาลาว่าการท้องถิ่น ตั้งแต่ฮ่องเต้จวบจนขุนนาง ตั้งแต่กิจการระดับชาติไปจนถึงชีวิตทางสังคม ล้วนอยู่ภายใต้ขอบเขตของการกำกับดูแลของขุนนางที่ปรึกษา
ดังนั้น ขุนนางที่ปรึกษาจึงมีฐานะและอำนาจที่พิเศษ ซึ่งมีผลอย่างมากในการยับยั้งการดำเนินงานของราชสำนัก
ในตอนที่เซียวเฉวียนถูกเนรเทศ ก็เพราะจ้าวจินไหลที่ปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอ ได้นำขุนนางที่ปรึกษาเหล่านี้ ไปบีบบังคับให้ฮ่องเต้ต้องทำ
ในวันนี้ จู่ ๆ เซียวเฉวียนก็เกิดโรคร้าย ฮ่องเต้สั่งเหล่าหมอหลวงขี่ม้าเข้ามาถวายการรักษา ก็ถือเป็นความผิดอีกหนึ่งข้อ
ข้อที่สอง พระราชวังเป็นสถานที่ของโอรสแห่งสวรรค์ เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ ไม่เคยให้ผู้ใดใช้พระราชวังตามลำพังมาก่อน และฮ่องเต้ยังออกไปรอที่ด้านนอกประตู
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไร้กฎเกณฑ์และเสียระบบอย่างที่สุด!
แม้ว่าเซียวเฉวียนจะมีความดีความชอบในการชนะสงคราม และเป็นศิษย์ของปีศาจกวี แม้จะมีตำแหน่งสูงส่ง ทว่าจักรพรรดิก็คือจักรพรรดิ ราษฎรก็คือราษฎร จะต้องไม่มีการเบี่ยงเบนจากกฎเกณฑ์ใด ๆ!
เป็นเพียงขุนนางระดับสี่ และเพียงเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเจ็บป่วยกะทันหันเช่นนี้ กลับบังอาจมาใช้พระราชวังฉางหมิงของฝ่าบาท ไร้สาระสิ้นดี!
เซียวเฉวียนมีสิทธิ์อะไร!
ขุนนางที่ปรึกษาเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกน้องของขุนนางจ้าวจินไหลผู้ยิ่งใหญ่ จ้าวจินไหลเพียงพบหน้าเซียวเฉวียน กลับบ้านไปก็ปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอ ในใจของพวกเขาต่อต้านเซียวเฉวียนอย่างมาก
พวกเขานึกไม่ออกว่าเหตุใดจ้าวจินไหลจึงต้องปลดชีวิตตัวเอง พวกเขาไม่รู้ว่าจ้าวจินไหลปลิดชีวิตตัวเอง มีเหตุผลที่ง่ายนิดเดียว
ทว่าถือเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่เข้าใจ ผู้ที่ไม่เกรงกลัวจักรพรรดิอย่างแท้จริง ไม่ใช่เซียวเฉวียน แต่เป็นพวกเขานั่นเอง
เรื่องสงครามใหญ่ที่รัฐไป๋ลู่ จ้าวจินไหลชักชวนฮ่องเต้ให้ขอร้องเว่ยเชียนชิวต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก หลังจากเซียวเฉวียนชี้แนะ จ้าวจินไหลจึงนึกได้สติว่า ตนเองให้ฮ่องเต้ผู้สง่างามของต้าเว่ยไปขอร้องฝ่ายตรงข้าม นี่คือการเอาศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ไปวางไว้บนพื้นมิใช่หรือ?
จ้าวจินไหลไม่เพียงแต่สกิดโดนเกล็ดใต้คอมังกรอย่างฮ่องเต้ การกระทำเช่นนี้ของตัวเขาเอง เป็นการบอกฮ่องเต้ว่า : หากเกิดความวิบัติแก่ต้าเว่ยในภายภาคหน้า ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจไปอยู่ฝั่งของเว่ยเชียนชิวก็เป็นได้
แม้จ้าวจินไหลจะภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ก็ยิ่งยโสโอหังไม่น้อย การกระทำเช่นนี้ของเขา ได้ทำลายความไว้วางใจของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาหมดไปนานแล้ว
หากจ้าวจินไหลสำนึกในความผิดและเลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเอง ความเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งราชการของสกุลจ้าวก็ยังพอมีอยู่ในอนาคต
หากจ้าวจินไหลยังหลงผิดไม่รู้ผิดชอบ ไม่เพียงความเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งราชการของสกุลจ้าวที่จะอยู่ได้ไม่นาน แต่มือที่ยิ่งใหญ่คู่นั้นของฮ่องเต้จะยื่นออกมา และทำให้สกุลจ้าวหายสาบสูญไปจากต้าเว่ย
ดังนั้น จ้าวจินไหลที่รู้สำนึกในความผิด จึงเลือกที่จะปลิดชีวิตของตัวเองโดยไม่หันหลังกลับ เช่นนี้เขาก็สามารถใช้สิ่งที่มีค่าต่ำต้อยที่สุด แลกมาซึ่งอนาคตของสกุลจ้าว
ในสมัยโบราณ การพูดจากับฮ่องเต้จักต้องระวังเป็นอย่างมาก
มิเช่นนั้นจะมีจุดจบเช่นเดียวกับจ้าวจินไหล เพราะความยิ่งยโสที่เกินเหตุ คำพูดที่ไม่ระวังปากเพียงครั้งเดียว อาจเป็นอันตรายต่ออนาคตของทั้งตระกูล
ในสมัยโบราณ หากเป็นผู้ไร้อนาคตก็จะต้องเป็นคนรับใช้ สำหรับตระกูลชนชั้นสูงเหล่านี้ที่เคยมีชีวิตที่ดี ยอมตายเสียยังดีกว่า
การตายของจ้าวจินไหล ทำให้ขุนนางที่ปรึกษาเหล่านี้เปรียบดั่งมังกรที่ไร้หัว
แม่ฉินรุดหน้ามารายงาน ทันทีที่ได้ยินว่าฮ่องเต้ทั้งรักและดีต่อเซียวเฉวียนเช่นนี้ ขุนนางที่ปรึกษาทั้งหลายต่างก็อยู่ไม่สุข ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรและทรงมีพลานุภาพจำนวนสองร้อยคน วันนี้พวกเขาจักต้องทำหน้าที่ตักเตือนกษัตริย์เสียแล้ว!
เซียวเฉวียนเป็นเพียงขุนนางระดับสี่ มีสิทธื์อะไรที่จะได้รับการปฏิบัติดีเช่นนี้!
คำพูดที่ว่าเป็นการตักเตือนฮ่องเต้ พูดราวกับว่ากำลังทำสิ่งที่ยุติธรรม ซึ่งความจริงแล้วพวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ พวกเขาก็แค่อิจฉาริษยาเท่านั้น
ฮ่องเต้อายุยังน้อย เขาเพิ่งขึ้นมามีอำนาจเมื่อไม่นานมานี้ แทบไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ พวกเขาไม่เคยเห็นว่าฝ่าบาททรงดีต่อผู้ใดได้มากเช่นนี้ แม้แต่จวนฉินก็ยังไม่อาจได้รับความโปรดปรานได้มากเท่าเขามาก่อน
“ฝ่าบาท! พระองค์ทรงเป็นหน้าเป็นตาของต้าเว่ย เป็นบุตรของโอรสแห่งสวรรค์ เป็นผู้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง เหตุใดพระองค์จึงให้ขุนนางระดับสี่ใช้พระราชวังฉางหมิงเพียงลำพัง?”
“กฎหมายของต้าเว่ยกล่าวว่า พระราชวังฉางหมิงเป็นเทพเจ้าแห่งราชาซึ่งหมายถึงความสงบสุขชั่วนิรันดร์ หากไร้ซึ่งฮ่องเต้อยู่ด้วยหรือหากฮ่องเต้มิได้ทรงเรียกเข้าเฝ้า ก็จะไม่มีผู้ใดใช้พระราชวังฉางหมิงโดยลำพังได้!”
“แม้จะเป็นเรื่องฉุกเฉินเพียงใด! เช่นนั้นก็ไม่สมควรอยู่ดี!”
“ฝ่าบาท! ทรงไตร่ตรองให้ดีเถิด! นำตัวเซียวเฉวียนออกมาเถอะพะยะค่ะ!”
เหล่าขุนนางที่ปรึกษาพูดจ้อ พูดมากเสียจนฮ่องเต้ปวดศีรษะ เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่พวกนั้นพูดเลย คิดเพียงว่าเซียวเฉวียนดีขึ้นแล้วหรือไม่ แต่ภายในพระราชวังกลับไร้ความเคลื่อนไหว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...