“ฮ่า ๆ ท่องบทกวีบ้าอะไรกัน! น่าขันสิ้นดี!”
“ท่องติด ๆ ขัด ๆ!”
“นี่คือระดับความรู้ของจอหงวนงั้นหรือ?”
สิ่งที่เซียวเฉวียนท่องเมื่อครู่ คือจารึกบนผนังเรือนจำของถานซือถง ชาวฮว๋าเซี่ยยุคใหม่
ถานซือถง นามฟู่เซิง ฉายานามจ้วงเฟย เขาเป็นนักการเมือง นักคิด และนักปฏิรูปที่มีชื่อเสียงในจีนยุคใหม่ เขาเป็นหนึ่งในหกวิญญูชนแห่งการปฏิรูปร้อยวัน
การปฏิวัติอู้ซวี หรือมีชื่อเรียกว่าการปฏิวัติร้อยวัน การปฏิรูปใหม่ เป็นขบวนการปฏิรูปกระฎุมพีในช่วงปลายราชวงศ์ชิงในประเทศจีน นำโดยนักปฏิรูปเช่นถานซือถงและคนอื่น ๆ ผ่านทางจักรพรรดิกวงซวี่ ผู้สนับสนุนการเรียนรู้จากตะวันตก สนับสนุนวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ปฏิรูประบบการเมืองและการศึกษา และพัฒนาการเกษตร อุตสาหกรรม การพาณิชย์ ฯลฯ
จักรพรรดิกวงซวี่ยี่สิบสี่ปีคือปีอู้ซวีตามปฏิทินจันทรคติ ในเดือนมิถุนายนของปีนั้น จักรพรรดิกวงซวี่ดำเนินการปฏิรูป และในเดือนสิงหาคมถานซือถงไปปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมในข้อตกลงใหม่
ในช่วงกลางเดือนกันยายน พระนางซูสีไทเฮาทรงก่อรัฐประหาร จำคุกจักรพรรดิกวงซวี่ และเริ่มสังหารหมู่นักปฏิรูป
สหายของถานซือถงที่เข้าร่วมในขบวนการปฏิรูปอู้ซวี ต่างหนีไปต่างประเทศ แต่เขายังคงอยู่
หลายคนแนะนำให้ถานซือถงออกไปโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงเงื้อมมือของพระนางซูสีไทเฮา แต่เขายืนกรานว่าจะไม่ออกไป เขาเชื่อว่ามีเพียงการนองเลือดเท่านั้นที่สามารถส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงได้
และแล้ววันนั้นก็มาถึง หลังจากความล้มเหลวของขบวนการปฏิรูปอู้ซวี เขาถูกซูสีไทเฮาจับกุม และบทกวีนี้ก็ถูกเขียนโดยเขาในเรือนจำ
ถานซือถงถูกสังหารในเวลาต่อมา จิตวิญญาณของเขาเต็มใจที่จะใช้เลือดที่คอเพื่อชำระล้างรัฐบาลที่ทุจริต และถือว่าความตายเป็นเสมือนการกลับบ้าน ไม่เพียงชี้ไปที่การทุจริตและความมืดมนของราชสำนักราชวงศ์ชิงโดยตรงเท่านั้น แต่ยังสร้างอนุสาวรีย์อมตะที่ประชาชนคนรุ่นหลังจะชื่นชมตลอดไป
จึงมีผู้กล่าวถึงถานซือถง ด้วยคำพูดที่ดีที่สุด : ด้วยพรสวรรค์ของนักวิชาการระดับสูงและความกล้าหาญของผู้คนหลายพันคน เขาได้เรียนรู้มากมายและเขียนได้อย่างยอดเยี่ยม เขามีความคิดที่ลึกซึ้งและมีเมตตา เขาถือว่าโลกเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และการกอบกู้ประเทศจีนเป็นภารกิจของเขา เขาเองก็ดุร้ายแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ดังนั้น การที่ถานซือถงจารึกไว้บนผนังเรือนจำตอนถูกคุมขัง จะเป็นบทประพันธ์ที่ธรรมดาได้อย่างไร?
มันมีเนื้อและเลือด และเสียงขับร้องก้องกังวาล!
ขณะนั้นเอง ตราประทับเหวินอิ้นสีแดงบีบอัดเข้ามาอย่างว่องไว คล้ายกับดาบที่คมกริบ และต้องการแยกโลกอันกว้างใหญ่และหนาทึบออกจากกัน
พลังอันแข็งแกร่ง ทำให้พู่กันเฉียนคุนแตกดังเปรี๊ยะ!
หักออกเป็นสองท่อน!
“ตุ๊บ!”
พู่กันเฉียนคุนที่หักเป็นสองท่อน และล้มลงกับพื้นอย่างไร้ปรานี
ให้ตายเถอะ?
เซียวเฉวียนเบิกตากว้าง ไหนว่าเป็นถึงอาวุธสงครามอย่างไรเล่า หักแบบนี้เลยงั้นหรือ? ของที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ ดูท่าไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยเสียเลย ของจากร้านทุกอย่างยี่สิบสินะ
ลมแรงกรรโชกเข้ามา! เมื่อไม่มีพู่กันเฉียนคุนคอยหนุน ตราประทับมู่อวิ๋นรีบดิ่งเข้ามาบีบอัดเซียวเฉวียนใกล้ขึ้น!
ตราประทับมู่อวิ๋นสีแดงฉาน เคร่งขรึมและหนักหน่วง บีบอยู่บนร่างของเซียวเฉวียน!
“โอ้ย!”
เซียวเฉวียนเพิ่งถูกผนึกจูเสินต่อต้าน ตอนนี้ยังมาโดนตราประทับมู่อวิ๋นบีบอัดซ้ำ กายใจของเซียวเฉวียนสั่นเทิ้มไปทั่ว ปวด!
ปวดเหลือเกิน!
“ฮ่า ๆ ๆ!”
แม่ฉินเห็นเซียวเฉวียนลงไปนอนกองที่พื้น ราวกับคากคกอย่างไรอย่างนั้น นางลืมอาการเจ็บปวดที่ดวงตาและหัวเราะร่าขึ้นมาอย่างโอหัง!
แอบคิดว่าเซียวเฉวียนจะสู้ได้มากกว่านี้เสียอีก!
สุดท้ายแล้ว เมื่อเหลียงไหวโหรวเพียงออกแรงนิดเดียว เซียวเฉวียนก็ลงไปนอนกองอยู่บนพื้น!
ดูท่าว่าก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก
แม่ฉินมัวแต่จับจ้องความน่าสังเวชของเซียวเฉวียน กลับเพิกเฉยต่อเรื่องที่เหลียงไหวโหรวสามารถบงการตราประทับเหวินอิ้นได้
ทั้งตัวและหัวใจของนาง และสิ่งเดียวที่นางคิดได้ก็คือการหัวเราะเยอะเซียวเฉวียน
“เจ็บปวดหรือไม่? ห๋า? ท่าทางกำเริบเสิบสานเมื่อครู่เล่า หายไปไหนเสียแล้ว?”
แม่ฉินแสยะยิ้ม และใบหน้าที่แท้จริงของคนร้ายก็ถูกเปิดเผย “เซียวเฉวียน หากข้าเป็นเจ้าและมีชีวิตที่อัตคัดเช่นนี้ในต้าเว่ย ข้าคงตายไปเสียนานแล้ว!”
หูของเซียวเฉวียนไม่เคยรู้สึกรู้สากับการได้ยินเสียงหัวเราะเยอะ เสียงเหน็บแนมเช่นนี้
ตำพูดเช่นนี้ของแม่ฉิน ไม่สามารถทำให้เขาสะทกสะท้านได้
ไม่ว่าจะเป็นสหายที่หนีไป หรือข้าที่คอยความตายอยู่ข้างหลัง แม้ว่าเส้นทางของเราจะต่างกัน แต่เป้าหมายของเราก็เหมือนกัน และคุณค่าของเราก็สูงไม่ต่างกัน เหมือนกับยอดเขาคุนหลุนทั้งสองที่ยืนเคียงข้างกัน ที่แสดงความจริงใจ ความซื่อสัตย์ และความสง่างามราวกับภูเขาคุนหลุน
บทกวีนี้ฉลาดในการใช้คำพาดพิง แต่มีความหมายลึกซึ้ง ด้วยอักขระเพียงยี่สิบแปดตัว มีการใช้คำพาดพิงสองคำติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางวิชาการที่ลึกซึ้งและความชำนาญในบันทึกทางประวัติศาสตร์
บทกวีนี้พาดพิงถึงการเมืองที่ผิดปกติของราชสำนักโดยตรง ซึ่งบ่งบอกถึงความขุ่นเคืองและดูถูกพฤติกรรมอันโหดร้ายของราชสำนัก
ประการที่สอง บทกวีนี้มีความงดงามและรูปแบบการเขียนมีความกล้าหาญและทรงพลัง เมื่อเผชิญกับความเป็นจริงของการนองเลือดบนพื้น กวีไม่ได้สั่นคลอนหรือรู้สึกเศร้า แต่เพียงบุคลิกที่น่าเกรงขามและความอุ่นใจที่ไม่มีใครเทียบได้
เขาสงบและไม่เร่งรีบ เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่เกรงกลัวต่ออันตรายและยิ้มออกมาได้อย่างเต็มที่
รอยยิ้มนี้ไม่เพียงเป็นรอยยิ้มของชายผู้แข็งแกร่ง หรือรอยยิ้มของวีรบุรุษ แต่ยังเป็นรอยยิ้มที่เย็นชาและดูหมิ่นอีกด้วย
บทกวีนี้อุดมไปด้วยความหมายแฝง ซึ่งเป็น “บทกวีแห่งความตาย” ที่หนักหน่วง แต่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพลังของชีวิตที่เร้าจิตวิญญาณ เรียกได้ว่าเป็นปากกาวิเศษที่จะทำลาย “ความซบเซา” ในงานศิลปะ
การใช้คำพาดพิงในบทกวีทั้งหมดมีความเหมาะสมและละเอียดอ่อน การใช้ภาษาที่แข็งแกร่งมีพลังและน่าดึงดูด
มีคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทกวีนี้ว่า ราวกับว่าเลือดที่คอยังคงไหลนอง และมีความจงรักภักดีซ่อนอยู่ในนั้น
ดังนั้น เหลียงไหวโหรวพูดว่าเป็นกวีบ้างั้นหรือ?
ท่ามกลางแสงสีแดงฉาน ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจนกระดูกจะแหลกสลาย เซียวเฉวียนก็เหมือนกับถานซือถงที่รู้สึกถึงการดูหมิ่นหยามเกียรติ!
รู้สึกถึงความเย่อหยิ่งของผู้มีอำนาจบารมีเหล่านี้!
ข้ารู้สึกว่าแม้ว่าข้าจะเป็นมนุษย์ แม้ว่าข้าจะถูกภูเขาไท่ซานครอบงำไว้ ทว่าข้าก็ไม่ควรกลัวความตาย!
กลัวตายจะมีประโยชน์อันใด!
กลัวตายจะมีประโยชน์อย่างไร!
หากผู้อื่นประสงค์ให้เจ้าตาย ประสงค์ให้เจ้าก้มหัวลง เจ้าอย่าได้ทำเด็ดขาด!
อย่าทำเด็ดขาด!
“ทิ้งชื่อฝากโลกา! ดั่งภูผายืนยง! พู่กันเฉียนคุน! ไป!”
เส้นเลือดโผล่ขึ้นมาที่คอของเซียวเฉวียน เขาออกคำสั่งเสียงกร้าว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...