“อืม?”
เซียวเฉวียนดูสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับคำถามของเว่ยอวี๋
เซียวเฉวียนหาได้รู้ตัวไม่ว่า รูปลักษณ์ภายนอกของตนเองในยามนี้แปรเปลี่ยนไปมากเพียงใด
เขารู้เพียงว่า ยามที่พันธะโลหิตถูกลบออกไปนั้น ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วตัวยิ่งนัก ถึงแม้ว่าบริเวณจุดตันเทียนในร่างกายของเขาจะรู้สึกว่างเปล่าไปเล็กน้อย หากแต่มันดูมีความสดใสมากขึ้นกว่าเดิม
เซียวเฉวียนรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก การกำจัดพันธะโลหิตในครานี้ แม้ว่าจะต้องเก็บเป็นความลับ หากแต่ก็เป็นไปด้วยความราบรื่นมาก
แม้ว่าตนเองจักกลายเป็นคนโง่ แม้จะก่อเรื่องราวที่ทำให้อับอายขายหน้าไปบ้าง ทว่า หน้าตาของตนนั้น หากเสียหน้าไปก็ยังเก็บขึ้นมาใหม่ได้ หาใช่เรื่องใหญ่โตไม่
นับแต่นี้เป็นต้นไป หากว่าเซียวเฉวียนยังมีความสามารถแข็งแกร่งเช่นนี้ จักมีผู้ใดกล้ามาหัวเราะเยาะเขา?
ยังจะมีผู้ใดกล้ามารังแกคนของตระกูลเซียวอีก?
สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน มีขึ้นได้ก็ต้องมีลงได้ มีกำไรย่อมมีการขาดทุน หากมีขาดทุนก็ย่อมได้กำไรกลับคืนมา
เซียวเฉวียนนับว่าใจเย็นยิ่งนัก
เมื่อพันธะโลหิตถูกกำจัดไปแล้วนั้น แม้ว่าเซียวเฉวียนจักต้องเสียหน้าไปบ้าง แต่ก็ได้ร่างกายที่แข็งแรงกลับมา ทั้งยังมิต้องถูกฉินซูโหรวฉุดลงเหวอีกต่อไป เช่นนี้ถึงแม้จักต้องเสียหน้าแต่ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
จวนจงเหริน
สองมือที่จับมือฉินซูโหรวเอาไว้แน่นนั้น "หลานสาวผู้น่าสงสารของข้า... เหตุใดเจ้าจึงโชคร้ายเช่นนี้ ถึงได้ต้องมาพบเจอกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้กัน?"
ไทเฮาพลันเอ่ยพึมพำออกมาทั้งน้ำตาที่นองหน้า หากกล่าวกันตามตรง แท้จริงแล้วไทเฮามิชื่นชอบแม่ฉินที่เป็นบุตรีบุญธรรมของพระนางเลยสักนิด จนพาลให้ไม่ชอบหน้าหลานสาวบุญธรรมคนนี้ไปด้วย
ถึงอย่างไร บุตรสาวบุญธรรมคนนี้หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตองค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับไม่ ในฐานะมารดาบุญธรรมเช่นพระนางจึงปฏิบัติตัวต่อแม่ฉินด้วยความเฉยเมย
ทว่า ไทเฮาที่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อองค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น อีกทั้งจักรพรรดิผู้ล่วงลับเองก็รักและเอ็นดูแม่ฉินที่เป็นบุตรบุญธรรมมาเช่นกัน เมื่อบุตรสาวบุญธรรมของนางตกตายไปในยามนี้ ทั้งหลานสาวและหลายชายบุญธรรมยังต้องมาพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้อีก นี่มิใช่ถือเป็นการตบหน้าราชวงศ์ยุคก่อนหรือ?
ถึงกระนั้น ไทเฮาหาได้เอ่ยอันใดออกมาสักครึ่งคำไม่
ถึงอย่างไรจุดตันเทียนของฉินซูโหรวก็ได้ถูกฉินเซิงทำลายไปแล้ว หาใช่เป็นฝีมือของเซียวเฉวียนโดยตรงไม่
หากแต่การเสียชีวิตของแม่ฉิน และอาการการบาดเจ็บของฉินซูโหรวถือเป็นการตบหน้าราชวงศ์ยุคอย่างรุนแรงเช่นกัน
ไทเฮาจักมิยอมให้ผู้ใดมาปฏิบัติต่อบุตรหลานของจักรพรรดิผู้ล่วงลับไปเช่นนี้
ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ยุคก่อนมิควรจักต้องมาถูกเหยียบย่ำเช่นนี้
อาจกล่าวได้ว่า ไทเฮาในยามนี้รู้สึกเสียใจและสงสารต่อฉินชูโหรวหลานสาวสายนอกของนางคนนี้ยิ่งนัก มิสู้กล่าวว่าไทเฮาพยายามที่จะปกป้องรักษาหน้าตาของราชวงศ์ยุคก่อน
"พวกเจ้าเข้ามา"
“ไปนำกระบี่มา”
ไทเฮาออกคำสั่ง เหล่านางกำนัลจึงเข้าไปนำกระบี่เรียวยาวที่ส่องแสงเป็นประกายออกมาในทันที
กระบี่เล่มนี้เปล่งประกายด้วยแสงและกลิ่นอายอันเย็นเฉียบ ราวกับทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงสิ่งมหัศจรรย์ก็ไม่ปาน
ฉินซูโหรวที่ฟื้นขึ้นมาในยามนี้ ทว่าร่างกายของนางอ่อนแอมากนัก เมื่อนางเห็นกระบี่ที่อยู่ตรงหน้า พลันทำเอาชะงักไปเล็กน้อย "ไทเฮาเพคะ นี่คือ ... "
“นี่คือกระบี่ชีวัน”
ไทเฮาเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม ทั่วร่างของฉินซูโหรวพลันสั่นสะท้านไปในทันที "กระบี่ชีวัน? ใครกันเพคะ?"
กระบี่ชีวันนั้น ในยามที่หล่อกระบี่ขึ้นมา นั่นหมายความว่าต้องนำร่างกายของมนุษย์หลอมโยนเข้าไปในเตาหลอมด้วยกัน ซึ่งเสมือนกับเป็นการบูชายัญกระบี่ก็ไม่ปาน
สิ่งที่แตกต่างกันนั้น ความเชื่อของต้าเว่ยเชื่อว่าคนที่จากไปนั้นต่างก็มีวิญญาณหลังความตายทั้งหมด ฉะนั้นแล้วในยามที่หลอมกระบี่ขึ้นมา จึงจำเป็นต้องให้ภิกษุปลุกเสกกระบี่เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อสะกดวิญญาณของผู้ตายเอาไว้ในกระบี่ ดังนั้นกระบี่เช่นนี้จึงเรียกขานกันว่ากระบี่ชีวัน
ร่างกายของคนคนหนึ่ง และจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง หลอมรวมกลายมาเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์
กระบี่ชีวันนั้นมีจิตวิญญาณของตนเองอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงมิจำเป็นต้องให้เจ้าของกระบี่ท่องมนต์หรือมีความสามารถอันใดมากมาย ทั้งยังมีจำเป็นต้องให้นายของตนมีพละกำลังอันใด ขอเพียงแค่คำสั่งการของเจ้าของกระบี่เท่านั้น มีกระบี่ชีวันก็จักสามารถเข้าโรมรันต่อสู้ได้ในทันที
ในเมื่อจุดตันเทียนของฉินซูโหรวถูกทำลายไปแล้วนั้น กระบี่ชีวันจึงเป็นอาวุธที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฉินซูโหรวในยามนี้
แม้ว่ากระบี่ชีวันจะเหนือกว่าและทรงพลังมากกว่า ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นสิ่งต้องห้ามในต้าเว่ย กฎของต้าเว่ยนั้นมิอนุญาตให้ผู้ใดสร้างกระบี่ชีวันขึ้นมา เนื่องจากการจะหลอมกระบี่ชีวันขึ้นมาได้นั้นย่อมหมายถึงชีวิตคนหนึ่งชีวิต หากผู้ใดใช้กระบี่ชีวันขึ้นมาจริง ๆ ละก็ มิรู้ว่าจะต้องมีสักกี่คนที่ต้องเดือดร้อนเพราะมัน
แม้ว่าไทเฮาจะรู้ข้อกฎหมายนี่อยู่เต็มอก แต่พระนางก็จงใจที่จะละเมิดมัน ถึงกับสร้างกระบี่ชีวันเพื่อมอบให้กับฉินชูโหรว มันอาจมิกล่าวได้เลยว่าไทเฮาใส่ใจหลานสาวสายนอกของพระนางมาจริงๆ
“ข้ายังพาคนผู้หนึ่งมาอีกด้วย”
เพียงไทเฮาโบกมือเข้ามานั้น ก็พลันมีบุรุษร่างกำยำเดินเข้ามาในทันที
เขาเป็นบุรุษตัวสูง แววตาของเขาที่มั่นคงและเฉียบแหลม รวมไปถึงกลิ่นอายอันทรงพลังที่แผ่กระจายออกมา
เขาคือเว่ยอู๋จี้ ศัตรูตัวฉกาจของไป๋ฉี่ ฮวาเซี่ยไป๋ฉี่ที่ไร้พ่ายมิเคยพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้อันใด หากแต่มาแต่พ่ายแพ้ให้กับฮวาเซี่ยเว่ยอู๋จี้ผู้นี้
“เว่ยอู๋จี้ นี่คือนายหญิงคนใหม่ของเจ้า”
หลังจากที่ไทเฮาออกคำสั่งแล้วนั้น เว่ยอู๋จี้จึงนั่งคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมโค้งคำนับอย่างรุนแรง "น้อมพบนายท่าน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...