สรุปเนื้อหา บทที่ 585 พรากฮูหยินและบุตรี – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 585 พรากฮูหยินและบุตรี ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ในยามที่เซียวเฉวียนกำลังรังเกียจและต้องการที่จะสลัดพู่กันเฉียนคุนทิ้งไปนั้น แผนการขโมยพู่กันเฉียนคุนที่ถูกผู้อื่นลอบวางแผนเอาไว้มาอย่างยาวนานก็พร้อมที่จะเริ่มดำเนินการในทันที
เมื่อยี่สิบวันก่อน พลังจากที่องค์จักรพรรดิรับรู้ถึงการมีอยู่ของพู่กันเฉียนคุนแล้วนั้น ก็เพื่อที่จะให้เซียวเฉวียนได้ใช้การมันได้อย่างเต็มที่และมิต้องปิดบังใดอีก ๆ
ในเวลาขณะเดียวกัน พู่กันเฉียนคุนก็ต้องเข้าสู่การจับตามองของเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายด้วยเช่นกัน
พวกเขาย่อมรู้ดีว่านายของพู่กันเฉียนคุนเป็นผู้ใด หากแต่พวกเขาก็ยังคิดโลภมาก! เสมือนบุรุษผู้มีภรรยาแล้ว แต่ก็ยังมิวายรู้สึกว่าภรรยาของผู้อื่นดูงดงามยิ่งนัก!
โดยเฉพาะเว่ยเชียนชิว แม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกคนล้วนแต่รับรู้โดยทั่วกันว่า ไม่ว่าจะมีของดีและเลิสเลอเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วพวกมันล้วนแต่ตกไปอยู่ในมือของเว่ยเชียนชิว เสมือนกับสตรีที่งดงามในใต้หล้ามิได้อยู่ที่วังหลังขององค์จักรพรรดิ หากแต่มาปรากฏตัวอยู่ในจวนเจียนกั๋วแทน
ในยามนี้เซียวเฉวียนเป็นถึงหนึ่งในที่ปรึกษาแล้วนั้น มิมีผู้ใดสามารถเข้าใกล้เซียวเฉวียนและสามารถวางแผนขโมยพู่กันเฉียนคุนได้มากไปกว่าจ้าวอีโต้วและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ อีก
พวกเขาครุ่นคิดเกี่ยวกับแผนการในเรื่องนี้นานนับยี่สิบวัน เมื่อรู้สึกว่าแผนการของตนเองมิมีช่องโหว่อันใดนั้น หลังจากที่แผนการของจ้าวอีโต้วสำเร็จ พร้อมทั้งขโมยพู่กันเฉียนคุนมาได้แล้วไซร้ เขาก็จะนำมันไปมอบให้กับเว่ยเชียนชิว แล้วก็ขอเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการแทน ให้ตนเองได้ยืนอยู่เหนือเซียวเฉวียน เขาอยากจะรู้นักว่าเซียวเฉวียนจะทำตัวหยิ่งผยองอวดดีไปได้สักเพียงใด!
เซียวเฉวียนมาจักต้องก่นด่าสาปแช่งเขาออกมาอย่างแน่นอน!
"ฮิฮิฮิ!"
เพียงแค่คิดเท่านั้น จ้าวอีโต้วก็สามารถจินตนาการเรื่องทุกอย่างได้ว่าหลังจากที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งและสร้างเงินทองโชคลาภในอนาคตอย่างไร แม้เขาจะยังมิได้พู่กันเฉียนคุนมาครอบครอง แต่เขาก็มีความสุขแล้วราวกับว่าเขามาถึงจุดสูงสุดของชีวิตตนเองเสียแล้ว
“ฝ่ายตรวจการจ้าว... ทำเช่นนี้เกรงว่าไม่ดีกระมัง?”
ที่ปรึกษาขุนนางขั้นเจ็ดนั้น พลันขมวดคิ้วลง ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะผูกพันกับเว่ยเชียนชิวก็จริง แต่ส่วนใหญ่ก็เหล่าขุนนางพวกนั้นเพียงแค่พยายามหาเลี้ยงชีพเท่านั้น ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ยังมีความรู้สึกถูกผิดอยู่บ้าง
ในต้าเว่ยนั้น อาวุธของเหล่าปัญญาชนคือการเลือกนาย หากมีชื่อมีสกุลเมื่อใด เสมือนกับบุรุษได้ตบแต่งภรรยาก็ไม่ปาน อาวุธบรรพกาลพวกนี้ก็นับว่าสิ่งของล้ำค่าเช่นกัน
ฉะนั้นแล้วการขโมยอาวุธถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงที่มิควรทำ หากว่าต้องการอยากจะได้อาวุธของฝ่ายตรงข้ามนั้น มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือการประลองเพื่อให้ได้มันมา หลังจากคว้าชัยมาได้แล้ว จึงจะสามารถนำอาวุธของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของตนเองได้
วิธีการขโมยหรือฉกฉวยเช่นนี้ ถือว่าเป็นการผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วยเช่นกัน
ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า เซียวเฉวียนถือครองพู่กันเฉียนคุนมานานแล้ว หากว่าพวกเขาสามารถขโมยพู่กันเฉียนคุน ก็มิต่างอันใดกับการแย่งภรรยาของเซียวเฉวียนมาเป็นของตนเอง
การพรากภรรยาและบุตรีของผู้อื่นไปนั้น มิต่างจากการสังหารยกตระกูลเลยทีเดียว!
ด้วยอารมณ์และนิสัยของเซียวเฉวียนที่เป็นเช่นนี้ หากเขาพบว่าพู่กันเฉียนคุนถูกขโมยไปแล้วไซร้ เช่นนั้นเขาจะไม่รุดหน้ามาฆ่าฟันพวกเราเลยหรือ?
พวกเขามิได้รู้เลยว่า เซียวเฉวียนอดมิได้ที่จะอยากให้พวกเขามาขโมยเอาพู่กันเฉียนคุนไปในยามนี้ เจ้าพวกดื้อดึงเหล่านี้ เซียวเฉวียนมิสามารถรับใช้ได้ไหวหรอก!
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำพูดของจักรพรรดินั้นเพียงเอ่ยกล่าวถึงพู่กันเฉียนคุนออกมาครึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์หาได้พูดถึงรูปภาพ ภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิแห่งเขาคุนหลุนไม่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะขโมยพู่กันเฉียนคุนออกมาได้ด้วยความยากลำบากอย่างไร ทว่า เซียวเฉวียนก็หาได้ไร้อาวุธวิเศษอยู่ข้างกายของตนเองไม่ การหยิบภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิแห่งเขาคุนหลุนมาใช้นั้น นับว่าสะดวกและใช้การได้ง่ายกว่าผู้พู่กันเฉียนคุนเสียอีก
หลังจากได้ยินคำพูดของที่ปรึกษาตัวเล็กแล้วนั้น ภายในใจของจ้าวอีโต้วพลันรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนไปในทันที หากแต่เขายังคงกัดฟันกล่าวออกมาว่า "เซียวเฉวียนนับเป็นสิ่งใดกัน? ข้าลงมือขโมยพู่กันเฉียนคุนนั้น ก็เพื่อมอบมันให้กับเว่ยเจียนกั๋ว เซียวเฉวียจักกล้าไปเอาเรื่องต่อเจียนกั๋วเลยรึ?” "
"หากมอบความกล้าหาญให้กับเจ้าเด็กนี้ไปสักร้อยครั้ง เขาก็มิกล้าก้าวเข้าไปในจวนเจียนกั๋วสักครึ่งก้าวอย่างแน่นอน!"
“เจ้าคนขี้ขลาด! เจ้ากลัวสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้! มีเรื่องอะไรที่ต้องกลัวกัน? มันก็เป็นเพียงแค่อาวุธบรรพกาล เซียวเฉวียนจักทำให้โลกมันพลิกคว่ำไปได้หรืออย่างไร?”
จ้าวอีโต้วกลอกตามองบนดูลูกน้องของตนเองด้วยความรังเกียจ ที่ปรึกษาตัวน้อยจึงได้แต่ก้มหัวลงกล่าวว่า "ทว่า... การกระทำเช่นนี้จะต่างอันใดกับการปล้นแย่งชิงภรรยาผู้อื่น... "
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำงานให้กับเว่ยเชียนชิว แต่พวกเขาก็มิอาจจะทำเกินกว่าขอบเขตที่กำหนดมาได้
“ขโมยมันแล้วอย่างไรเล่า! มิต้องเอ่ยถึงสตรีและอาวุธเลย เว่ยเจียนกั๋วเพียงแต่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้าเท่านั้น และพวกเราก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหามัน! ยิ่งไปกว่านั้น พู่กันเฉียนคุนยังอยู่ใกล้แค่เอื้อมเช่นนี้ พวกเราจักปล่อยมันไปงั้นหรือ?”
คำพูดของจ้าวอีโต้วเช่นนี้ นับว่าเป็นคำพูดที่สุนัขหลายคนชอบเอ่ยขึ้นมาเสียจริง จ้าวอีโต้วไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกละอายใจเท่านั้น เขายังเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วย เขาภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เป็นลูกน้องของเว่ยเชียนชิว! ฮึ่ม!
“ทว่า เจี้ยนกั๋วหาได้เอ่ยออกมาไม่ว่าปรารถนาที่จะอยากได้พู่กันเฉียนคุน…” ที่ปรึกษาตัวน้อยยังคงกัดฟันกล่าวออกมา หาใช่ว่าเขากล้าที่จะขัดแย้งกับจ้าวอีโต้วไม่ ทว่า เซียวเฉวียนนั้นรับมือได้ยากยิ่งนัก เดิมทีทุกคนต่างก็เป็นกังวลเรื่องนี้อยู่แล้ว หากว่าพวกเราเริ่มไปก่อกวนเขาเช่นนี้ มิใช่วิ่งเข้าไปหาเรื่องด้วยตัวเองงั้นหรือ?
ในตอนแรก มีขุนนางขั้นเจ็ดคนหนึ่งมิได้ช่วยพูดในราชสำนักให้กับอีโต้วนั้น ชีวิตในภายหลังของเขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก จ้าวอีโต้วพลันสังให้คนไปขายตัวน้องสาวของชายคนนั้นออกมา ก่อนจะขายตัวฮูหยินของคนผู้นั้นออกไปด้วยเช่นกัน!
ที่แย่กว่านั้นคือ จ้าวอีโต้วไม่แม้แต่จะปล่อยมารดาผู้เฒ่าชราของชายผู้นั้นไปด้วยแม้แต่น้อย ทั้งยังส่งสารมารดาที่เฒ่าชราออกไปขายเป็นทาสให้กับแถบชนบทอีก ด้วยร่างกายที่มีควรจะมีความสุขในวัยชรานั้น รวมไปถึงสุขภาพร่างกายที่ไม่ดีย่อมไม่อาจทำงานหนัก ๆ ได้ รวมไปถึงครอบครัวนั้นใจร้ายไส้ระกำ ไม่ยอมให้นางได้กินแม้แต่ข้าวสารสักเม็ด ไม่พ้นสามวัน หญิงชราผู้นั้นก็ถูกคนในตระกูลเหล่านั้นทุบตีจนตายจากไป
ทุกคนรู้ดีว่าจ้าวอีโต้วเป็นคนกระทำทุอย่าง ทว่ามิมีผู้ใดมีหลักฐาน
ที่ปรึกษาผู้นั้น ต่างก็ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความโกรธเคืองที่มิอาจหาทางออกได้ อีกทั้งจ้าวอีโต้วยังได้รับการสนับสนุนจากเว่ยเชียนชิวเช่นนี้ คำเรื่องเรียนที่มิได้ไปถึงสำนักฝ่ายในก็ถูกกดให้จมดินเสียแล้ว ที่ปรึกษาที่พยายามดั้นด้นสอบเข้ามาด้วยความลำบากเสียหลายปี เมื่อพบเจอสถานการณ์ที่อยุติธรรมเช่นนี้ เขาจึงได้แต่หันกายกลับหลังไปปลิดชีพของตนเองแทน
ครอบครัวคนหนึ่ง จักต้องมาตายกันยกตระกูลเช่นนี้
จักมีผู้ใดกันกล้าไปขัดขวางจ้าวอีโต้วกัน?
มีเพียงเซียวเฉวียนเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้
เมื่อถูกจ้าวอีโต้วเพ็งเลผ้งแล้วไซร้ นับว่าเซียวเฉวียนน่าสงสารยิ่งนัก อีกทั้งจ้าวอีโต้วหาใช่คนที่จะใช้กฎหมายบ้านเมืองมาจัดการได้อีกด้วย หากว่าเซียวเฉวียนต้องมาเผชิญหน้ากับจ้าวอีโต้วโดยไร้สิ้นหลักฐานละก็ ถึงแม้ว่าเซียวเฉวียนจักเป็นถึงประมุขแห่งชิงหยวนก็ตามแต่ ถึงอย่างไรเขาย่อมมิอาจสู้กับคนในเงาเช่นจ้าวอี้โต้วได้อีกต่อไป
สู้ไม่ได้หรือ?
พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่า เซียวเฉวียนมิใช่ว่าการต่อสู้กับจ้าวอีโต้วจะไม่แข็งแกร่งพอ แต่เขากลัวว่าตนเองจักไม่แข็งแกร่งพอต่างหาก
เนื่องจากเซียวเฉวียนยังเรียนการใช้พลังแห่งถ้อยคำได้ไม่ดีพอ
หากพวกเขารู้ว่าเซียวเฉวียนได้กำจัดพันธะโลหิจออกไปแล้วนั้น เซียวเฉวียนคงจักใช้เหล่าที่ปรึกษาเหล่านี้เป็นคนสนามฝึกฝนของตนเองไปแล้ว
เกรงว่าจักเป็นอีกฝั่งมากกว่าที่ต้องมาทนร่ำไห้ออกมาด้วยความขมขื่นแทน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...