ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 598

สรุปบท บทที่ 598 ศึกผนึกจูเสิน: ซูเปอร์ลูกเขย

ตอน บทที่ 598 ศึกผนึกจูเสิน จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 598 ศึกผนึกจูเสิน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

รากจิตอักษรเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่สามารถทำให้พละกำลังและความสามารถในการขับบทกลอนของคนผู้หนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

ปัญญาชนทุกคนในต้าเว่ยต่างก็ติดตามการเปลี่ยนแปลงของรากจิตอักษรของตนเองอย่างใกล้ชิด แม้นายท่านจะไม่สนใจอะไรเลย จะมีก็มีไม่มีก็ช่าง กระทั่งมองก็ไม่มองเลยก็ตาม

ในตอนที่ไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าต้องจดจำวงโคจรและลักษณะการเติบโตของรากจิตอักษรแทนเขานั้น นายท่านมันจะปฏิเสธต่อต้านเป็นอย่างมากอยู่เสมอ การบอกให้ผู้ชายตัวใหญ่บึกบึนสองคนมาจ้องมองเรือนร่างของตนเองนั้น มันก็ดูจะแปลกหน่อย ๆ

ไป๋ฉี่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะยิ้มก็ไม่ออก ทุกครั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ นายท่านมันจะขวยเขินคล้ายกับแม่นางน้อยเลยก็ไม่ปาน สู้เรี่ยวแรงมหาศาลขององครักษ์เหล่านี้อย่างพวกเขาไม่ได้

นายท่านกล่าวว่าริ้วรอยของรากจิตอักษรนี้ก็เป็นเพียงแค่รอยสักแสนเท่บนร่างกายอย่างหนึ่งเท่านั้น มิมีประโยชน์อื่นใดเลย มีสิ่งใดน่ามองกันเชียว

ไป๋ฉี่จึงทำได้เพียงแค่ช่างมันแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นไป๋ฉี่จึงมิได้ตรวจสอบรากจิตอักษรของนายท่านมาเนิ่นนานแล้ว วันนี้เมื่อได้มามองดู รากจิตอักษรที่ลามมาจนถึงลำคอแต่เดิม บัดนี้กลับลุกลามจากลำคอไปยังแขน หลังจากนั้นก็ไปตามข้อมือแล้ว

เซียวเฉวียนไม่ยินยอมให้ไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าจ้องมองมันทุกวัน ทว่าการมองดูแลปกป้องร่างกายของนายท่านนั้น ทั้งก็เป็นหน้าที่ที่องครักษ์จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน

ในทุกครั้งยามที่เซียวเฉวียนหลับใหลไป ไป๋ฉี่จะใช้กำลังภายในตรวจสอบร่างกายของเซียวเฉวียนหนึ่งหนอยู่เสมอ ตรวจสอบว่าเส้นลมปราณของนายท่านยังติดขัดอยู่หรือไม่ มีร่องรอยของการถูกพิษอยู่อีกหรือไม่ มีการบาดเจ็บภายในอยู่อีกหรือไม่

โชคดีที่เซียวเฉวียนเป็นผู้ที่แข็งแรงเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ไป๋ฉี่ตรวจสอบดูทุกวัน ทั้งก็มิได้ค้นพบสิ่งใดเช่นเดียวกัน

วันคืนผ่านพ้นไป ในสถานที่ที่เซียวเฉวียนมองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะอยู่ไกลหรือว่าอยู่ใกล้ไป๋ฉี่ก็ตาม ไป๋ฉี่ก็ล้วนรับบทบาทเป็นผู้คุ้มครองอย่างเต็มกำลังอยู่ดี

การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเซียวเฉวียน ไป๋ฉี่ทราบดีราวกับลายนิ้วมือบนฝ่ามือ

รวมไปถึงตราประทับระหว่างคิ้วของเซียวเฉวียนด้วย มันมีสีเข้มขึ้นมาเล็กน้อย เซียวเฉวียนมิได้ค้นพบมันเลย ทว่าไป๋ฉี่กลับกระจ่างแจ้งเป็นอย่างมาก

ตอนกลางวันไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าจะทำการฝึกฝนอย่างเต็มรูปแบบ พอมาตกกลางคืนไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าก็มักจะเหลือเวลาเอาไว้ให้เล็กน้อยอยู่เสมอ เพื่อแอบติดตามสุขภาพของนายท่าน

เรื่องนี้มิสามารถให้นายท่านทราบได้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นนายท่านก็จะกอดตัวเองเอาไว้จนสั่นหงึก ๆ ริมฝีปากเอ่ยกล่าวโทษว่า "ที่พวกเจ้าจ้องข้าทุกวันแบบนี้เพราะคิดอะไรกับข้าใช่ไหม"

ฉากกำบังหนึ่งกำลังปิดคลุมเซียวเฉวียนเอาไว้อยู่ ฝนที่อั้นมาทั้งวันในท้ายที่สุดก็ตกลงมาแล้ว ตอนกลางคืนของฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเย็น ไป๋ฉี่สร้างฉากกำบังให้เซียวเฉวียนสามารถนอนได้อย่างเต็มอิ่ม

ไป๋ฉี่เงยศีรษะขึ้น สบตามองไปยังฝนห่าใหญ่ ยังคงรู้สึกเศร้าโศก

ครึ่งปีก่อนหน้ายามที่เขาสบตามองฝนเช่นนี้ยังคงเป็นทาสคุนหลุนผู้หนึ่งอยู่เลย เขาอยู่ที่หัวถนนท้ายซอยของเมืองหลวง ตัวเปียกชุ่มอย่างรุนแรงและหนาวเหน็บเพราะฝน บนศีรษะไม่มีแม้กระเบื้องครึ่งแผ่นมาคลุมศีรษะเอาไว้

ทว่าบัดนี้ยังผ่านไปไม่ถึงปี เขาได้กินเป็นอย่างดีแล้ว ได้สวมใส่เป็นอย่างดีแล้ว มารดาเองก็อาศัยอยู่ในจวนเซียวอย่างปลอดภัย ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเป็นสุข น้องสาวก็เข้าวังไปเป็นสนมคนโปรด

ชะตาชีวิตทั้งสองที่ไม่เหมือนกันกลับแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในระยะเวลาหนึ่งปี

ไป๋ฉี่สบตามองเซียวเฉวียนที่หลับสนิทไปแล้วหนึ่งหน บนโลกใบนี้คงมีเพียงนายท่านเท่านั้นแล้วที่มีความสามารถนี้กระมัง

ที่สำคัญที่สุดเลยคือไป๋ฉี่สามารถเป็นอิสระจากการผูกมัดของผนึกจูเสินได้ ความสบายอกสบายใจของเรือนร่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คนนอกมองดูแล้วเขากับตอนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก ทว่าเขานั้นกลับสามารถสัมผัสได้ถึงมันจริง ๆ สิ่งที่เรียกว่าอิสระพรรค์นั้นน่ะ

ภายในหัวใจของเขาไม่ถูกพละกำลังของการดูถูกผูกมัดอีกต่อไปแล้ว

นี่คืออิสระของการหายใจอย่างหนึ่ง

คืออิสระที่ได้ถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์อย่างหนึ่ง

คืออิสระที่ได้เป็นเหมือนดั่งสรรพสิ่งในโลกอย่างหนึ่ง เขากำลังเติบโตภายใต้แสงอาทิตย์และอากาศอย่างตามอำเภอใจ

ความรู้สึกนี้ช่างทำให้มนุษย์ลุ่มหลงเสียจริง

ในดวงตาของไป๋ฉี่ยังคงมีกลิ่นอายสังหารกับแสงสว่างเกี่ยวพันกันอยู่

เห็นโลกยามค่ำคืนที่มีฝนโปรยปรายดังนี้แล้ว ภายในหัวใจของไป๋ฉี่มิได้มีความหนาวเหน็บเลยแม้แต่นิดเดียว มีเหลือเพียงแค่พละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดและความอบอุ่นเท่านั้น

ไป๋ฉี่คิดอยากที่จะให้เหมิงเอ้าพวกเขาได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เป็นอิสระเช่นนี้บ้าง ทำลายผนึกจูเสิน เขากับเซียวเฉวียนก็เหมือนกัน เป็นเรื่องที่จะต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

...

พระตำหนักฉางหมิง

มีคนผู้หนึ่งที่มิรู้ว่าคุกเข่าอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานเท่าใดแล้ว

คงจะเนิ่นนานเป็นอย่างมากแล้วกระมัง

เนิ่นนานจนกระทั่งหัวเข่าเจ็บระบมไปหมดแล้ว

ฮ่องเต้ทรงมีท่าทีไม่รีบร้อนพระทัย อ่านหนึ่งตำรา กางสมุดพับ เสวยเกาเตี่ยน [1] กับน้ำตาลที่พระสนมส่งมาให้ โดยสรุปแล้ว เจ้าจะคุกเข่าก็คุกเข่าไป ตัวข้าจะกินก็กินไป ตัวข้าเองก็จะให้เจ้าได้กินด้วย ตกรางวัลเจ้าเป็นชาหนึ่งถ้วย ถ้าเจ้าไม่ดื่ม เช่นนั้นก็ช่างมันปะไร

เซียวเฉวียนคลุ้มคลั่งมายี่สิบวัน เฉาสิงจือเองก็คุกเข่ามายี่สิบวันแล้วเช่นเดียวกัน เฉาสิงจือไม่ทราบว่าตอนนี้เซียวเฉวียนดีขึ้นมาแล้วหรือยัง แต่ก่อนหน้าที่เซียวเฉวียนจะดีขึ้น การโน้มน้าวฝ่าบาทให้ถอดพระทัยความคิดที่จะทำลายผนึกจูเสินนั้น คือเป้าหมายที่เฉาสิงจือมาโน้มน้าวติดต่อกันเป็นวันเป็นคืน

ผลสุดท้ายการรบราระหว่างเฉาสิงจือกับฮ่องเต้ที่ไม่ปรากฏผู้ชนะอันแสนเนิ่นนานนี้ ข่าวอาการป่วยของเซียวเฉวียนที่ดีขึ้นแล้วสร้างความวุ่นวายให้แก่จวนจ้าวโดยตรงทันที ก่อนจะถูกเฉาสิงจือทราบเข้าให้เสียแล้ว

เฉาสิงจือเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ หลังโน้มน้าวจ้าวหลานว่าอย่าไปปะทะกับเซียวเฉวียนแล้วก็รีบผุดลุกยืนทันที ไม่สนใจแล้วว่ายามนี้มิใช่เวลาที่ขุนนางใหญ่จะเข้าวัง ก่อนจะไปคุกเข่ากล่าวเสียงยานโน้มน้าวต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อีกครั้ง

หากไม่ไปโน้มน้าวอีกก็จะไม่ทันกาลแล้วอย่างไรเล่า!

วันพรุ่งหากเซียวเฉวียนเข้าวังมาจะต้องลงมืออย่างแน่นอน!

ทว่าเฉาสิงจือคุกเข่ามาเนิ่นนานแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังคงทรงเป็นเหมือนอย่างกาลก่อนเช่นเดียว ทรงมิฟังสิ่งใดทั้งสิ้น

เฉาสิงจือกล่าวว่าหากฝ่าบาทยังคงมิถอดพระทัยจากความคิดนี้ กระหม่อมก็จะไม่ไปไหน! นอกเสียจากท่านจะตีข้าให้ตาย

ผลสุดท้ายฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นลาหัวแข็ง "เฉาอ้ายชิงมิต้องรีบร้อน เจ้าไม่นอน ตัวข้าก็จะไม่นอนเช่นกัน ตัวข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรเล่า"

"ฝ่าบาท..."

เฉาสิงจือใกล้จะร่ำไห้อยู่แล้ว ฝ่าบาทยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งมิฟังคำโน้มน้าวแล้ว

เขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ หนึ่งหน ฮ่องเต้ทรงวางตำราในมือลง ก่อนจะลุกยืนแล้ว

เขาสาวพระบาททีละก้าวทีละก้าว เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉาสิงจือ พยุงเขาที่คุกเข่ามาแล้วเนิ่นนานให้ลุกยืน เฉาสิงจือยังคงไม่ยินยอมลุกขึ้น ฮ่องเต้ทรงออกแรงเล็กน้อย ทั้งก็เป็นการพยุงครึ่งลากครึ่งให้เขาลุกขึ้น ก่อนจะพยุงให้ลุกขึ้นได้แล้วในที่สุด

เฉาสิงจือยืนอย่างเงอะงะ ๆ ฮ่องเต้สูดลมหายใจลึก ๆ แรง ๆ หนึ่งหน "อ้ายชิงเป็นผู้มีพรสวรรค์มาโดยตลอด บัดนี้กลับมาโน้มน้าวอย่างยากลำบากติดต่อกันถึงยี่สิบวัน นี่คือการพุ่งเป้าไปหาเซียวเฉวียนหรือ?"

คำตรัสนี้แฝงการกล่าวโทษ แฝงความไม่สบอารมณ์เอาไว้อยู่

เฉาสิงจือตกตะลึงทันที ก้มศีรษะลง "กระหม่อมทำเพื่อฝ่าบาท! มิได้มีความคิดที่จะพุ่งเป้าไปยังใต้เท้าเซียวเลยแม้แต่น้อย!"

[1] เกาเตี่ยน หมายถึง ขนมชนิดหนึ่ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย