รากจิตอักษรเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่สามารถทำให้พละกำลังและความสามารถในการขับบทกลอนของคนผู้หนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ปัญญาชนทุกคนในต้าเว่ยต่างก็ติดตามการเปลี่ยนแปลงของรากจิตอักษรของตนเองอย่างใกล้ชิด แม้นายท่านจะไม่สนใจอะไรเลย จะมีก็มีไม่มีก็ช่าง กระทั่งมองก็ไม่มองเลยก็ตาม
ในตอนที่ไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าต้องจดจำวงโคจรและลักษณะการเติบโตของรากจิตอักษรแทนเขานั้น นายท่านมันจะปฏิเสธต่อต้านเป็นอย่างมากอยู่เสมอ การบอกให้ผู้ชายตัวใหญ่บึกบึนสองคนมาจ้องมองเรือนร่างของตนเองนั้น มันก็ดูจะแปลกหน่อย ๆ
ไป๋ฉี่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะยิ้มก็ไม่ออก ทุกครั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ นายท่านมันจะขวยเขินคล้ายกับแม่นางน้อยเลยก็ไม่ปาน สู้เรี่ยวแรงมหาศาลขององครักษ์เหล่านี้อย่างพวกเขาไม่ได้
นายท่านกล่าวว่าริ้วรอยของรากจิตอักษรนี้ก็เป็นเพียงแค่รอยสักแสนเท่บนร่างกายอย่างหนึ่งเท่านั้น มิมีประโยชน์อื่นใดเลย มีสิ่งใดน่ามองกันเชียว
ไป๋ฉี่จึงทำได้เพียงแค่ช่างมันแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นไป๋ฉี่จึงมิได้ตรวจสอบรากจิตอักษรของนายท่านมาเนิ่นนานแล้ว วันนี้เมื่อได้มามองดู รากจิตอักษรที่ลามมาจนถึงลำคอแต่เดิม บัดนี้กลับลุกลามจากลำคอไปยังแขน หลังจากนั้นก็ไปตามข้อมือแล้ว
เซียวเฉวียนไม่ยินยอมให้ไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าจ้องมองมันทุกวัน ทว่าการมองดูแลปกป้องร่างกายของนายท่านนั้น ทั้งก็เป็นหน้าที่ที่องครักษ์จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน
ในทุกครั้งยามที่เซียวเฉวียนหลับใหลไป ไป๋ฉี่จะใช้กำลังภายในตรวจสอบร่างกายของเซียวเฉวียนหนึ่งหนอยู่เสมอ ตรวจสอบว่าเส้นลมปราณของนายท่านยังติดขัดอยู่หรือไม่ มีร่องรอยของการถูกพิษอยู่อีกหรือไม่ มีการบาดเจ็บภายในอยู่อีกหรือไม่
โชคดีที่เซียวเฉวียนเป็นผู้ที่แข็งแรงเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ไป๋ฉี่ตรวจสอบดูทุกวัน ทั้งก็มิได้ค้นพบสิ่งใดเช่นเดียวกัน
วันคืนผ่านพ้นไป ในสถานที่ที่เซียวเฉวียนมองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะอยู่ไกลหรือว่าอยู่ใกล้ไป๋ฉี่ก็ตาม ไป๋ฉี่ก็ล้วนรับบทบาทเป็นผู้คุ้มครองอย่างเต็มกำลังอยู่ดี
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเซียวเฉวียน ไป๋ฉี่ทราบดีราวกับลายนิ้วมือบนฝ่ามือ
รวมไปถึงตราประทับระหว่างคิ้วของเซียวเฉวียนด้วย มันมีสีเข้มขึ้นมาเล็กน้อย เซียวเฉวียนมิได้ค้นพบมันเลย ทว่าไป๋ฉี่กลับกระจ่างแจ้งเป็นอย่างมาก
ตอนกลางวันไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าจะทำการฝึกฝนอย่างเต็มรูปแบบ พอมาตกกลางคืนไป๋ฉี่กับเหมิงเอ้าก็มักจะเหลือเวลาเอาไว้ให้เล็กน้อยอยู่เสมอ เพื่อแอบติดตามสุขภาพของนายท่าน
เรื่องนี้มิสามารถให้นายท่านทราบได้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นนายท่านก็จะกอดตัวเองเอาไว้จนสั่นหงึก ๆ ริมฝีปากเอ่ยกล่าวโทษว่า "ที่พวกเจ้าจ้องข้าทุกวันแบบนี้เพราะคิดอะไรกับข้าใช่ไหม"
ฉากกำบังหนึ่งกำลังปิดคลุมเซียวเฉวียนเอาไว้อยู่ ฝนที่อั้นมาทั้งวันในท้ายที่สุดก็ตกลงมาแล้ว ตอนกลางคืนของฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเย็น ไป๋ฉี่สร้างฉากกำบังให้เซียวเฉวียนสามารถนอนได้อย่างเต็มอิ่ม
ไป๋ฉี่เงยศีรษะขึ้น สบตามองไปยังฝนห่าใหญ่ ยังคงรู้สึกเศร้าโศก
ครึ่งปีก่อนหน้ายามที่เขาสบตามองฝนเช่นนี้ยังคงเป็นทาสคุนหลุนผู้หนึ่งอยู่เลย เขาอยู่ที่หัวถนนท้ายซอยของเมืองหลวง ตัวเปียกชุ่มอย่างรุนแรงและหนาวเหน็บเพราะฝน บนศีรษะไม่มีแม้กระเบื้องครึ่งแผ่นมาคลุมศีรษะเอาไว้
ทว่าบัดนี้ยังผ่านไปไม่ถึงปี เขาได้กินเป็นอย่างดีแล้ว ได้สวมใส่เป็นอย่างดีแล้ว มารดาเองก็อาศัยอยู่ในจวนเซียวอย่างปลอดภัย ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเป็นสุข น้องสาวก็เข้าวังไปเป็นสนมคนโปรด
ชะตาชีวิตทั้งสองที่ไม่เหมือนกันกลับแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในระยะเวลาหนึ่งปี
ไป๋ฉี่สบตามองเซียวเฉวียนที่หลับสนิทไปแล้วหนึ่งหน บนโลกใบนี้คงมีเพียงนายท่านเท่านั้นแล้วที่มีความสามารถนี้กระมัง
ที่สำคัญที่สุดเลยคือไป๋ฉี่สามารถเป็นอิสระจากการผูกมัดของผนึกจูเสินได้ ความสบายอกสบายใจของเรือนร่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คนนอกมองดูแล้วเขากับตอนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก ทว่าเขานั้นกลับสามารถสัมผัสได้ถึงมันจริง ๆ สิ่งที่เรียกว่าอิสระพรรค์นั้นน่ะ
ภายในหัวใจของเขาไม่ถูกพละกำลังของการดูถูกผูกมัดอีกต่อไปแล้ว
นี่คืออิสระของการหายใจอย่างหนึ่ง
คืออิสระที่ได้ถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์อย่างหนึ่ง
คืออิสระที่ได้เป็นเหมือนดั่งสรรพสิ่งในโลกอย่างหนึ่ง เขากำลังเติบโตภายใต้แสงอาทิตย์และอากาศอย่างตามอำเภอใจ
ความรู้สึกนี้ช่างทำให้มนุษย์ลุ่มหลงเสียจริง
ในดวงตาของไป๋ฉี่ยังคงมีกลิ่นอายสังหารกับแสงสว่างเกี่ยวพันกันอยู่
เห็นโลกยามค่ำคืนที่มีฝนโปรยปรายดังนี้แล้ว ภายในหัวใจของไป๋ฉี่มิได้มีความหนาวเหน็บเลยแม้แต่นิดเดียว มีเหลือเพียงแค่พละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดและความอบอุ่นเท่านั้น
ไป๋ฉี่คิดอยากที่จะให้เหมิงเอ้าพวกเขาได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เป็นอิสระเช่นนี้บ้าง ทำลายผนึกจูเสิน เขากับเซียวเฉวียนก็เหมือนกัน เป็นเรื่องที่จะต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
...
พระตำหนักฉางหมิง
มีคนผู้หนึ่งที่มิรู้ว่าคุกเข่าอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานเท่าใดแล้ว
คงจะเนิ่นนานเป็นอย่างมากแล้วกระมัง
เนิ่นนานจนกระทั่งหัวเข่าเจ็บระบมไปหมดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...