ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 614

กิเลนกับเซี่ยวเฟิงนั้นมิเหมือนกัน

เซี่ยวเฟิงเป็นสัตว์สงครามที่ปีศาจกวีพามา มันถือกำเนิดจากคุนหลุน มีไว้เพื่อให้มนุษย์ใช้งาน มิอาจสืบหาที่มาที่ไปได้

ทว่ากิเลนนั้น ฮ่องเต้กลับทรงทราบดีว่ามันคือตัวอะไร

ในบันทึกพงศาวดาร เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อน ใต้หล้าในตอนนั้นยังคงเป็นใต้หล้าของชาวคุนหลุน ใต้หล้าในตอนนั้นไม่มีต้าเว่ย ไม่มีซินเจียง มีเพียงแคว้นคุนหลุนที่เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น

ชาวคุนหลุนมีพรสวรรค์ในการรบมาตั้งแต่เกิด กลยุทธ์ล้ำเลิศ ทั้งก็ครอบครองทรัพยากรที่ดีที่สุดอย่างสิ่งนี้เอาไว้ในใต้หล้าแต่เพียงผู้เดียวด้วยเฉกเช่นเดียวกัน อาวุธเทพเซียนอย่างพู่กันเฉียนคุนหรือภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ต่างก็เป็นอาวุธที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และสัตว์พาหนะที่เขาใช้นั่งกันนั้น ทั้งก็เป็นสัตว์สงครามระดับสูงอย่างเซี่ยวเฟิงจำพวกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

พันกว่าปีก่อนหน้า กิเลนนั้นเป็นสัตว์พาหนะของฉยงฉี

ฉยงฉีเป็นแม่ทัพใหญ่ชื่อเสียงขจรไกล พรสวรรค์โดดเด่น ชาติกำเนิดต่ำต้อยทว่ากลับมีพลังเทพแต่กำเนิด ได้ยินมาว่ารูปลักษณ์ยังหล่อเหลาเอาการเป็นอย่างมากอีกด้วย

แม้แคว้นคุนหลุนจะมีผู้มีความสามารถถือกำเนิดขึ้นเป็นจำนวนมากก็ตาม ฉยงฉีกลับติดอันดับหนึ่งในสิบบนการจัดอันดับของแคว้นคุนหลุน ยึดอันดับที่ดีที่สุด ทั้งยังอยู่ในสามอันดับแถวหน้าอีกด้วย

สิ่งที่ตำราพงศาวดารของต้าเว่ยได้มีบันทึกเอาไว้นั้น ภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิแห่งเขาคุนหลุนนั้นคืออาวุธของท่านแม่ทัพฉยงฉี พู่กันจินหลุนเฉียนคุนคืออาวุธของท่านแม่ทัพจูหลง

บนตำรากล่าวเอาไว้ว่าในปีนั้นฉยงฉีกับจูหลงเป็นคู่หูที่ดีที่สุดในแคว้นคุนหลุน พู่กันเฉียนคุนกวาดล้างหมื่นสรรพสิ่งในใต้กล้าจนหมดสิ้น ภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิดูดซับร้อยสายน้ำ คนผู้หนึ่งรับหน้าที่โจมตี คนผู้หนึ่งรับหน้าที่ป้องกัน ทั้งสองเข้าขาร่วมด้วยช่วยกันเป็นหนึ่งเดียว ใต้หล้าไร้ศัตรู ดังนั้นพวกเขาจึงแยกกันปกครองดูแลเมืองทางฝั่งทิศตะวันออกและเมืองทางฝั่งทิศตะวันตก ในตอนนั้นทั้งสองคนถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น "พญามัจจุราชแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก"

หลังจากนั้นมาหลังแคว้นคุนหลุนล่มสลาย อาวุธของท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสิบแห่งแคว้นคุนหลุนต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปทั่วใต้หล้า ถูกประชาชนคนธรรมดาเก็บได้ หลังจากนั้นมากว่าพันปี อาวุธของท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสิบแห่งแคว้นคุนหลุนส่วนมากต่างก็หายไปกันอย่างไร้ร่องรอย

มีเพียงพู่กันเฉียนคุนของจูหลงและภาพรุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิของฉยงฉีเท่านั้น ที่ยังปรากฏอยู่ในต้าเว่ย

อาวุธอื่น ๆ ทั้งแปดชนิด มิต้องกล่าวถึงเรื่องหายสาบสูญ กระทั่งเงาก็ล้วนมองมิเห็น

กระทั่งอาวุธของมหาเทพที่ร้ายกาจเช่นนี้ยังล้วนสาบสูญ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วกิเลนที่เป็นสัตว์พาหนะตัวหนึ่งเล่า?

ทว่าจู่ ๆ กิเลนกลับปรากฏตัวออกมาเสียอย่างนั้น

กิเลนเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งของเขาคุนหลุน ในตำรากล่าวว่าเมื่อพันปีก่อน มิได้มีเพียงชาวคุนหลุนที่ถูกทำลายเท่านั้น แม้กระทั่งสัตว์สงครามของเขาพวกเองก็มิอาจผ่านด่านเคราะห์ไปได้ด้วยเฉกเช่นเดียวกัน

พวกมันที่อยู่ในกาลเวลาพันปีมาเนิ่นนานต่างก็ค่อย ๆ หายสาบสูญไปแล้ว เพียงแค่ครู่เดียวกลับไม่เห็นร่องรอยแล้ว

เซี่ยวเฟิงกับกิเลนสัตว์ขนาดมหึมาทั้งสองตัวประจันหน้ากันอยู่ ฮ่องเต้จึงทรงให้เซียวเฉวียนเล่าถึงประวัติความเป็นมาของกิเลนตัวนี้ให้ฟัง โชคยังดีที่ในใจเซียวเฉวียนยังมีธงเอาไว้อยู่นิดหน่อย

เซียวเฉวียนพยักหน้า "ข้าทราบพ่ะย่ะค่ะ สัตว์สงครามนี้หายสาบสูญไปคล้ายกับไดโนเสาร์ของพวกเราที่สูญพันธุ์ไปเพราะดาวหางดวงหนึ่งตกลงมา ดังนั้นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเรียงอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างไดโนเสาร์นี้จึงสูญพันธุ์ไป"

"กระไรนะ?" ฮ่องเต้ทรงมิเข้าใจ

เซียวเฉวียนหลุดออกมาจากภวังค์แล้ว ก่อนจะหัวเราะร่า "ความหมายของข้าคือการหายสาบสูญเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องปกติเป็นอย่างมาก นี่คือวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต ในวิชาชีววิทยาของพวกเราฮวาเซี่ยทางฝั่งโน้นเรียกสิ่งนี้ว่าการพัฒนาและวิวัฒนาการ"

"สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่นนั้นเหตุใดกิเลนจึงปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก?"

พระหนุ [1] ของฮ่องเต้ช้อนขึ้นเล็กน้อย ทอดพระเนตรมองเซียวเฉวียนด้วยสีหน้าฉงน

"นี่น่ะ ทางพวกเราฝั่งโน้นเรียกว่ายังสูญพันธุ์ไม่หมดน่ะพ่ะย่ะค่ะ" เซียวเฉวียนกล่าวอย่างขอไปที จะไปสนใจทำไมว่าทำไมมันถึงยังอยู่ ขอเพียงแค่มันยังอยู่เท่านั้น แค่นี้ก็เก็บมันมาเอาไว้เสียสิ

"ฟู่ ๆ ๆ!"

กิเลนถูกเซี่ยวเฟิงตะปบขนเข้าให้เสียแล้ว เพลิงยิ่งปะทุใหญ่เพิ่มขึ้นมามากขึ้นทุกที

"ฝ่าบาท ท่านทรงหลบไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ" เซียวเฉวียนหันศีรษะกลับมา เจ้าหนุ่มนี่วันนี้มันเป็นบ้าอะไรของมันอีก กลับยังนั่งบนบัลลังก์ดูความครึกครื้นเสียอย่างนั้น

"ข้ากล่าวเอาไว้แล้วว่าขอเพียงมีข้าราชการขุนนางแม้แต่ผู้เดียวอยู่ ตัวข้าก็จะมิไป"

เซียวเฉวียนชะงักนิ่งไปทันที เขานึกว่าฮ่องเต้น้อยองค์นี้ล้อเล่น เขามองซ้ายแลขวาเพื่อให้มั่นใจว่านอกจากจ้าวอีโต้วแล้วก็มิได้มีผู้ใดอยู่ข้างกายอีกแล้ว ก่อนจะกดเสียงต่ำกล่าวว่า "ฝ่าบาท แสดงแต่พอประมาณเถิด ตอนนี้ท่านดูเหมือนองค์เหนือหัวผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถเป็นอย่างมากแล้วล่ะ"

"หา?" ฮ่องเต้ขมวดพระขนงแน่นทันที เซียวเฉวียนเจ้าคนมิรู้จักที่ต่ำที่สูง

"อ๋อ ไม่ เดิมทีท่านเองก็ทรงเป็นองค์เหนือหัวผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถอยู่แล้ว ตอนนี้ในกลุ่มข้าราชการของเว่ยเชียนชิวนั่น ท่านเองก็สร้างความประทับใจได้หลายส่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน การแสดงของท่านในวันนี้เพียงพอแล้ว รีบออกไปจากที่นี่เร็วหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่อันตรายมากจริง ๆ"

เซียวเฉวียนเอ่ยโน้มน้าวด้วยความปรารถนาดี หากให้เพลิงของกิเลนเผาพระเกศาหรืออาภรณ์ของฮ่องเต้เข้าแล้วละก็ ขันทีหม่าจะไม่ก่นด่าเซียวเฉวียนตายหรอกรึ?

เพลิงของกิเลนนี้ย่างจนร้อนจริง ๆ ฮ่องเต้ทรงพระกาสะโขลกแห้ง ๆ ออกมาหนึ่งเสียง เหลือบตามองบนใส่เซียวเฉวียนไปหนึ่งหน แต่ก็มิได้จากไป "รีบชนะให้ตัวข้าเร็วเข้า มิฉะนั้นข้าจะเอาเจ้าให้ถึงตายเลย!"

"ฝ่าบาท เหตุใดตอนนี้ท่านถึงทรงมิฟังคำโน้มน้าวแล้วเล่า"

เซียวเฉวียนมิสบอารมณ์กับฮ่องเต้อยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้แผ่นหลังของเขากับฮ่องเต้ต่างก็ล้วนมีเหงื่อไหลออกมาแล้ว เพลิงของกิเลนนี้มิใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วจริง ๆ! รอให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว พระตำหนักฉางหมิงก็คือเตาอบเตาหนึ่ง เขากับฮ่องเต้อาจถูกอบจนสุกทั้งเป็นเลยก็เป็นได้นะ!

"นี่คือตำหนักฉางหมิงของตัวข้า เจ้าคือขุนนางของตัวข้า"

ฮ่องเต้ยังทรงทอดพระเนตรมองเซียวเฉวียนอย่างแน่วแน่ "พระตำหนักฉางหมิงเป็นจิตวิญญาณแห่งกษัตริย์ ความหมายคืออยู่ยืนยาวหมื่น ๆ ปี ตัวข้าเป็นบิดาแห่งต้าเว่ย เป็นเพราะว่าต้องการจะกำจัดขุนนางกบฏผู้หนึ่ง ข้าถึงกับต้องจากตำหนักฉางหมิงไปเลยหรือ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย