ฮ่องเต้แทบจับหนังสือในมือไว้ไม่มั่น และแทบสำลักน้ำลายตัวเอง “แค่ก! ใครก็ได้...”
ฮ่องเต้สั่งคนคุ้มกันเซียวเฉวียนให้ดี พระองค์จะทรงออกไปต้อนรับเจี้ยนเหล่าด้วยตัวเอง
เจี้ยนเหล่าและเย่าเหล่าเป็นชาวคุนหลุนเหมือนกัน ต่างกันตรงที่เจี้ยนเหล่ามาอยู่ที่ต้าเว่ยเร็วกว่าเย่าเหล่าค่อนข้างมาก ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่เลื่องชื่อในคุนหลุน
แต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน เย่าเหล่าเชี่ยวชาญในการรักษาโรค
เจี้ยนเหล่าช่ำชองในวิชาดาบและการตีดาบ ศาลาคุนหวู่เป็นคลังดาบอันดับหนึ่งของต้าเว่ย ก็มีความเกี่ยวโยงที่แน่นแฟ้นกับเจี้ยนเหล่า
ทว่าเจี้ยนเหล่าผู้นี้มีอุปนิสัยไม่ยี่หระสิ่งใด กล้าได้กล้าเสีย และสำมะเลเทเมาเสียยิ่งกว่าปีศาจกวี
อย่างน้อยปีศาจกวีก็ยังชื่นชอบอาหาร ชอบผักจี้ไช่ที่เจียงหนานอะไรทำนองนี้
สำหรับเจี้ยนเหล่าแล้ว เรื่องของกินประเภทนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขาเลย มีสิ่งใดก็กินสิ่งนั้น ไม่เหมือนปีศาจกวีที่ต้องกินผักจี้ไช่ของเจียงหนาน กินส้มหวานในฤดูใบไม้ผลิ เจี้ยนเหล่ารู้สึกจู้จี้จุกจิกเหมือนผู้หญิง แค่อาหารการกินยังต้องทำให้มากเรื่อง
เจี้ยนเหล่าเป็นเซียนที่ไม่มีความปรารถนาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง สาวงามหรือบ้านหลังใหญ่ เขาต่างไม่สนใจ
สิ่งของที่ไม่ได้นำมาด้วยตอนเกิด และไม่สามารถนำกลับไปด้วยตอนตาย เจี้ยนเหล่าไม่เคยใส่ใจ
เขาอาศัยอยู่นอกเขตเมืองหลวง สร้างกระท่อมมุงใบจากและขุดส้วมด้วยตัวเอง เพียงแค่นี้เขาก็อาศัยอยู่ได้แล้ว
ตระกูลอี้ดูแลเขาสารพัด ไม่ว่าในชีวิตประจำวันหรือทุก ๆ เทศกาลก็มักจะส่งอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ รวมทั้งข้าวของที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้แก่เขา
ของเล็ก ๆ น้อย ๆ และเงินจำนวนเล็กน้อยเหล่านี้ เจี้ยนเหล่าจะยอมรับไว้
แต่หากส่งข้าวของราคาแพง อย่างเช่นของโบราณ เครื่องประดับทองและเงิน หรือเงินมากกว่าสามตำลึง เขาจะโยนทิ้งโดยไม่ลังเลใจ
ตระกูลอี้รู้จักนิสัยเขาเป็นอย่างดี จึงไม่ส่งของเหล่านั้นให้แก่เขา สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือการส่งของใช้ที่ดี ราคาไม่แพงจำนวนหนึ่งให้ หากเจี้ยนเหล่ารับไว้ด้วยความยินดี ตระกูลอี้ก็จะมอบให้ด้วยความยินดีเช่นกัน
เจี้ยนเหล่าและอี้อู๋หลี่ถือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เจี้ยนเหล่าก็คือรุ่นปู่ของอี้กุย
ผู้ที่มีอายุหกเจ็ดสิบปีคนอื่น ๆ จะมีผมขาวและริ้วรอยขึ้นเต็มหน้า ทว่าเจี้ยนเหล่ากลับไม่มีผมขาวแม้แต่เส้นเดียว ใบหน้าของเขาก็มีริ้วรอยเพียงหนึ่งถึงสองเส้นเท่านั้น ดูราวกับคนอายุไม่เกินสามสี่สิบปี
วิชาการตีดาบของเจี้ยนเหล่าล้ำเลิศมาก ดวงตาของเขาแหลมคมอย่างไร้ที่ติ ถ้าเป็นมีดดาบ เพียงเขากวาดตามองก็จะรู้ขนาด วัสดุที่ใช้และความแข็งของดาบ
ต้าเว่ยสถาปนาประเทศได้เพียงไม่กี่ปี เขาก็มายังต้าเว่ย ได้ร่วมศึกษาหารือและเปลี่ยนความรู้วิชาตีดาบกับฮ่องเต้ผู้สถาปนาประเทศ
จนกระทั่งเจี้ยนเหล่าได้มาพบกับอี้อู๋หลี่ในภายหลัง เสียดายที่รู้จักกันช้าไป ทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้มีดดาบของต้าเว่ยยกระดับขึ้นได้หลายขั้น และทำให้อำนาจการทหารของต้าเว่ยรุ่งเรืองขึ้นไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม อี้อู๋หลี่ได้เปลี่ยนการทำดาบให้เป็นกิจการกึ่งพาณิชย์และกึ่งทางการ เขาก่อตั้งศาลาคุนหวู่ นับแต่นั้นมาตระกูลอี้ก็มีเงินทองไหลมาเทมา ความร่ำรวยเต็มบ้าน
แต่เจี้ยนเหล่าเลือกที่จะอยู่เบื้องหลัง และไม่ออกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
แม้แต่ดาบจิงหุนที่เซียวเฉวียนตีออกมา หลังจากที่เขาได้เห็นก็ไม่แสดงความเห็นใดเลย
ฮ่องเต้ไม่ต่างจากอี้กุย พวกเขารู้ว่ามีเซียนระดับปรมาจารย์อยู่ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ คนผู้นี้ชอบไปไหนมาไหนตัวคนเดียว อีกทั้งยังไม่สนใจใครในโลกหล้าใบนี้ เพียงแต่ชอบครุ่นคิดเรื่องมีดดาบคนเดียว
เขาอยากไปที่ใด ก็มักจะหุหันพลันแล่นและบุ่มบ่ามอยู่เสมอ เขาอยากเข้าบ้านตระกูลอี้เขาก็มา อยากเข้าวังเขาก็เข้า แม้แต่ฮ่องเต้ผู้สถาปนาประเทศและอี้อู๋หลี่ยังไม่กล้าแสดงความไม่พอใจ แล้วยังต้อนรับเขาเป็นอย่างดี
เจี้ยนเหล่าเดินทางมาไกลถึงต้าเว่ย จุดประสงค์ที่แท้จริงก็ง่ายมาก เพื่อความฝันที่ทุกคนบนโลกต่างหัวเราะเยาะ
ความฝันของเจี้ยนเหล่าก็คือการตีดาบดั่งใจต้องการ ฝึกวิชาดาบและการต่อสู้ ร่วมถึงการประลองกับผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
การมีความฝันเช่นนี้ในคุนหลุน ถือเป็นเรื่องที่เกินเอื้อม
หลังจากที่ผนึกจูเสินบีบอัดชาวคุนหลุน จิตวิญญาณของชาวคุนหลุนก็อิดโรยไร้เรี่ยวแรง อย่าว่าแต่การตีดาบ แม้แต่ดาบในมือของพวกเขา ยังคงเป็นรูปแบบและวัสดุที่คนรุ่นก่อน ๆ ทิ้งไว้ให้ มันทั้งเทอะทะและไร้ซึ่งความแหลมคม
อีกทั้งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชาวคุนหลุนก็ไม่ดุเดือดเท่าบรรพบุรุษ พวกเขาทุกคนเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาบนโลก โดยที่ไม่ทำอะไรเลยและไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากกินดื่มและถ่ายอุจจาระ
สิ่งเดียวที่พวกเขาเก่งคือปาก ทุกคืนพวกเขาจะรวมตัวกันรอบกองไฟ และพูดคุยเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ ความเก่งกาจ และความมั่งคั่งของบรรพบุรุษเมื่อหลายพันปีก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...