ณ จวนฉิน
อี้กุยนั่งอยู่ตรงข้ามฉินซูโหรว ซึ่งกำลังดื่มชาอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบในจวนฉิน
อี้กุยและฉินซูโหรวพูดคุยกัน พลางมองไปรอบด้าน แต่กลับไม่พบกระบี่ชีวันเล่มนั้นของนาง
สีหน้าของนางซีดขาวอย่างมาก ในตอนนี้ยังไม่ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่นางกลับใช้เตาอุ่นมือเสียแล้ว เห็นได้ว่านางหนาวเหน็บอย่างที่สุด
“คุณชายอี้มาที่ตระกูลฉินของข้าโดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกรงว่าไม่เพียงแค่ร่วมงานศพของท่านแม่ข้าสินะ”
เสียงพูดของฉินซูโหรวทั้งเบาและอ่อนแออย่างมาก ราวกับว่าจะหายใจในเฮือกต่อไปไม่ทันเสียแล้ว อี้กุยและเซียวเฉวียนเป็นสหายที่รักกันอย่างมาก อี้กุยไม่มีทางมีจิตใจดีขนาดนั้น จะมาร่วมแสดงความเสียใจกับการตายของแม่ฉินได้อย่างไร?
ท่านแม่ตายแล้ว อี้กุยแทบอยากจะปรบมือมากกว่าถึงจะถูก
ฉินซูโหรวไม่มีความสามารถอะไร แต่ในเวลานี้กลับประเมินตนเองได้ถูกต้อง
“ท่านหญิง ท่านพูดเกินไปแล้ว ข้ามาในวันนี้เพราะมีเรื่องอยากถามท่านหญิงเสียหน่อย”
“ถามงั้นหรือ?” ฉินซูโหรวยิ้มบาง ๆ ยิ้มอย่างเนือย ๆ “ท่านไม่มีความสนิทชิดเชื้อกับข้าเลย ท่านมีเจตนาดีเช่นนี้เชียวหรือ?”
อี้กุยตะลึงงัน ฉินซูโหรวในตอนนี้ต่างจากในอดีตมาก แม้ว่าเมื่อก่อนนางจะมีนิสัยดื้อด้าน ทว่ามองผิวเผินก็ยังถือว่ารอบคอบในเรื่องของมารยาท แต่คำพูดของนางในตอนนี้ไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
บนในหน้าของนาง เต็มไปด้วยความทนไม่ไหวที่มีต่อเขา
“สีหน้าท่านหญิงซีดเซียว หรือว่าท่านรู้สึกไม่สบาย?” อี้กุยวางแก้วชาในมือลง “หากข้ารบกวนการพักผ่อนของท่านหญิง ข้าขอตัวก่อน”
“เซียวเฉวียนสหายรักของท่าน ไม่ได้บอกท่านหรอกหรือ?”
ฉินซูโหรวไม่ได้มองเขา มองเพียงทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับ ครั้งก่อนที่นางดื่มชาตรงนี้ นางดื่มกับเซียวเฉวียน
หลังจากดื่มเสร็จ นางและเขาก็ได้ร่วมรักกันบนเตียง
และเป็นเพราะการแตะเนื้อต้องตัวในครานั้น ทำให้นางและเซียวเฉวียนได้ผูกพันธะโลหิตต่อกัน
“บอกสิ่งใดรึ?” อี้กุยไม่เข้าใจ หลายวันมานี้เขามัวแต่ยุ่งกับงานที่บ่อนและโรงเหล้า เขาแทบไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องที่เซียวเฉวียนทำ
เซียวเฉวียนไม่พูด และแน่นอนว่าอี้กุยก็ไม่ได้ถาม
“เขาทำลายจุดตันเถียนของข้า” ฉินซูโหรวพูดยิ้มหยัน พลางหันไปมองอี้กุยอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาคือผู้สมรู้ร่วมคิด “จึงทำให้ใบหน้าของข้าซีดเซียวเช่นนี้”
“ข้าจึงพูดอย่างอ่อนเปรี้ยเพลียแรงเช่นนี้”
“ข้าสามารถเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว”
“ท่าน” ฉินซูโหรวจ้องมองเขา “พอใจแล้วใช่หรือไม่”
อี้กุยตกใจอย่างคาดไม่ถึง มองฉินซูโหรวอย่างอ้ำอึ้ง “เพราะเพื่อ...พันธะโลหิต”
“อื้ม” ฉินซูโหรวพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เช่นนั้นจะเพื่ออะไรได้อีกเล่า”
“ท่านหญิง เป็นเพราะท่านต้องการที่พึ่ง จึงได้นำกระบี่ชีวันมาไว้ข้างกายงั้นหรือ?”
อี้กุยเข้าใจในทันที เหตุใดไทเฮาจึงมอบกระบี่ชีวันและเว่ยอู๋จี้ให้แก่ฉินซูโหรว
ไทเฮาไม่เพียงให้นางปกป้องตัวเอง แต่ชัดเจนว่านางกำลังยืมมือของฉินซูโหรวสังหารเซียวเฉวียน
ฉินซูโหรวเลิกคิ้วงาม “ท่านรู้เรื่องกระบี่ชีวันด้วยหรือ?”
อี้กุยยังไม่ตอบคำถาม นางก็ยิ้มออกมาเบา ๆ “ก็จริง ในเมืองหลวงมีผู้สอดแนมและมีหูตามากมาย เรื่องที่ไทเฮาทำ จะเล็ดลอดสายตาผู้เหนือมนุษย์อย่างพวกท่านได้อย่างไร?”
“ทำไมรึ ท่านก็มาหากระบี่ชีวันงั้นหรือ?”
ฉินซูโหรวขยับเข้าไปด้านหน้า บนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ใบหน้าทีซีดขาวของนางราวกับดอกโบตั๋นท่ามกลางสายฝน บอบบางไร้ที่เปรียบ ทว่าเป็นความงามที่ทำให้ผู้อื่นปวดใจ
อี้กุยจิตใจเหม่อลอยอีกครั้ง เขารีบหันหลังกลับอย่างรุนแรงและไม่มองนางอีก แต่มองไปยังต้นหยางหลิวที่เหี่ยวเฉาริมทะเลสาป “ท่านหญิง กระบี่ชีวันเป็นอาวุธร้ายแรง ท่านเป็นผู้หญิงไม่ควรใช้อาวุธร้ายแรงเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...