เร็วหน่อย
เร็วเข้า
เร็วขึ้นอีกหน่อย
พระขนงของฮ่องเต้ทรงเต้นกระตุกอย่างรุนแรง พระทัยตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ทรงมักจะรู้สึกว่ามิสบายอยู่ที่ใดสักแห่งเสมอ ทั้งยังทรงรู้สึกอีกด้วยว่ามีที่ใดสักแห่งที่มิปกติดีนัก
หรือเป็นเพราะเฝ้าเซียวเฉวียนมานานหลายวันเช่นนี้จนมิได้พักผ่อนเป็นอย่างดี ดังนั้นกะจิตกะใจจึงมิอยู่กับตัว?
ฮ่องเต้ทรงเสวยซุปสงบจิตไปแล้วสองถ้วยใหญ่ ดังนั้นจึงผ่อนคลายลงมาเล็กน้อยหน่อยแล้ว
เขาทอดมองออกไปนอกพระตำหนักฉางหมิง ขันทีหม่าไปเชิญชวีจงเทียนมา เหตุใดยังมิกลับมาอีก?
จวนชวีที่แสนจะทรุดโทรม
ขันทีหม่ากำลังวิ่งเหยาะ ๆ มาตลอดเวลา ในสาทรฤดูที่หนาวเหน็บ ทั่วทั้งร่างของเขากลับมีเหงื่อร้อน ๆ ไหลออกมา "เร็ว ๆ ๆ! รีบตามหาใต้เท้าชวีเร็วเข้า! ไม่ว่ามุมไหนก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้!"
"ขอรับ!"
ประตูใหญ่คร่ำครึทรุดโทรมของจวนชวีเปิดแง้มเอาไว้อยู่ ในตอนที่ขันทีหม่าเข้ามาแล้วนั้น กลับค้นพบว่ามีคนเร่ร่อนผู้กลุ่มหนึ่งของเมืองหลวงกำลังนอนหลับกันอยู่ในจวน บนพื้นเต็มไปด้วยฉี่และอุจจาระ
เหล่าสหายร่วมชั้นที่ร่ำเรียนมาด้วยกันในปีนั้น บัดนี้กลับรวมกลุ่มกันกลายเป็นคนเร่ร่อน เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าจวนชวีนั้นได้ตกต่ำพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้วจริง ๆ ชวีจงเทียนเองก็ทอดทิ้งจวนชวีกับตนเองอย่างมิเหลียวแล
จวนชวีกลายเป็นสถานที่รวมตัวของสมาชิกคนเร่ร่อน ทว่ากลับไร้เงาของชวีจงเทียน
ขันทีหม่าสั่งการให้คนไปไล่คนเร่ร่อนให้ออกไปกันทั้งหมด ก่อนจะให้คนที่พามาด้วยกระจายตัวไปตามหาชวีจงเทียน
จวนชวีรูปร่างไม่เล็กไม่ใหญ่ ขันทีหม่าวิ่งอย่างกุลีกุจอมาตลอดเส้นทางพลางร้องตะโกนเสียงดังว่า "ใต้เท้าชวี! บ่าวรับพระราชโองการของฮ่องเต้มาเพื่อเชื้อเชิญท่านเข้าวังขอรับ!"
"ใต้เท้าชวี! ท่านอยู่ที่ใดรึขอรับ?"
"เซียวเฉวียนบุตรชายของท่านแม่ทัพเซียวเทียน ท่านจำได้หรือไม่? บัดนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจากท่านนะขอรับ!"
ขันทีหม่าเดินไปพลางร้องตะโกนไป "บ่าวทราบว่าท่านต้องได้ยินแน่! ท่านออกมาเถิดขอรับ!"
"ท่านดูสิขอรับ คำพูดที่บ่าวกล่าวมิได้เป็นคำปดเลย! บ่าวยังนำหยก [1] ของท่านแม่ทัพเซียวเทียนมาด้วยนะขอรับ!"
ในปีนั้นเซียวเทียนได้มีบุญคุณต่อชวีจงเทียน สถานการณ์ในตระกูลของชวีจงเทียนยากจนข้นแค้น กระทั่งเงินที่จะใช้ซื้อเครื่องเขียนล้วนมิมี ยิ่งมิต้องไปกล่าวถึงการเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการเพื่อเข้าวังไปเป็นขุนนางเลย
เป็นเซียวเทียนที่ให้ความช่วยเหลือชวีจงเทียน ชวีจงเทียนถึงได้มีโอกาสหนหนึ่ง
เซียวเทียนนับถือชวีจงเทียนเสมือนพี่น้องในตระกูล ให้การช่วยเหลือชวีจงเทียนในการร่ำเรียนหนังสือ มิได้มีข้อเรียกร้องใดเลย ทั้งสองคนเป็นสหายกันอย่างแท้จริง
ชวีจงเทียนเองก็มีความมุมานะเช่นเดียวกัน ล้วนอยู่แนวหน้าตลอดเส้นทางการสอบเข้ารับราชการเสมอ สุดท้ายได้เข้าวังรับราชการอย่างราบรื่น
และอีกประการหนึ่งคือชวีจงเทียนยังมีพรสวรรค์ทางด้านการค้าอีกด้วย เขาเหมือนกับเซียวเฉวียนในตอนนี้ กล้าที่จะไม่สบอารมณ์และเหยียดหยามชนชั้นสูงคนอื่น ๆ ริเริ่มค้าขายใบชา เริ่มทำขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย สุดท้ายกลายเป็นพ่อค้าชาที่มีชื่อเสียงเล็กน้อยในเมืองหลวง
สุดท้ายชวีจงเทียนก็มิได้เงินขาดมืออีกต่อไปแล้วเช่นเดียวกัน ยามที่เขาเลี้ยงดูชวีฝานนั้น กิจการของตระกูลเองก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว สามารถให้ชวีฝานได้มีชีวิตหรูหราร่ำรวยเหมือนดั่งคุณหนูของตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลอื่น ๆ ได้แล้วเช่นเดียวกัน
ทว่ามิตรภาพระหว่างเขากับเซียวเทียนเองก็เหมือนดั่งวันวานเช่นเดิม เพียงแต่ลึกซึ้งมากขึ้นไปอีกก็เท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดชวีฝานยินยอมที่จะตายแต่มิยินยอมที่จะกล่าวเซียวเทียนกับกองทัพตระกูลเซียวเป็นขยะไร้ค่า ท่านลุงเคยกล่าวกับนางมาตั้งแต่เล็กว่าน้ำหนึ่งหยดต้องตอบแทนพระคุณด้วยน้ำหนึ่งถัง
ทว่าตระกูลเซียวนั้นมีเมตตาและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นเป็นอย่างมาก เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าตระกูลชวีมีกำลังที่จะตอบแทนบุญคุณได้แล้ว ทว่ากลับมิเคยเอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว
กองทัพตระกูลเซียวตายเพื่อปกป้องประเทศชาติ ชวีฝานจะสามารถดูหมิ่นคนในตระกูลเซียวแม้แต่ครึ่งเดียวได้อย่างไร?
ที่มุมหนึ่ง มีดวงตาฝ้าฟางคู่หนึ่งจับจ้องขันทีหม่าที่ตะโกนจนเสียงแหบมาโดยตลอด
เขามิได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งขันทีหม่านำหยกของเซียวเทียนออกมา
หยกของสหาย ชวีจงเทียนจำได้ในแว็บแรก เพราะหยกชิ้นนี้เป็นของที่ชวีจงเทียนมอบให้
ปีนั้นในระหว่างการขายชา ชวีจงเทียนเผอิญค้นพบหยกเนื้อดีก้อนหนึ่งเข้า ดังนั้นจึงนำมันกลับมาด้วย ก่อนจะสร้างเป็นหยกที่ห้อยเอวแล้วมอบให้กับเซียวเทียนไป
เซียวเทียนชมชอบเป็นอย่างมาก เขาที่เป็นแม่ทัพผู้หนึ่ง มิเคยประดับเครื่องประดับสุขุมเช่นนี้มาก่อน ทว่ากลับเป็นชวีจงเทียนที่มอบหยกชิ้นนี้ให้กับเขา เซียวเทียนจึงพกพามันอยู่ตลอดเวลา
หยกชิ้นนี้เคยแตกมาก่อน ในตอนแรกที่เซียวเทียนตายในสนามรบนั้น มีคนนำหยกที่แตกเป็นสองส่วนของเขาส่งกลับคืนมา
ยามนั้นเมื่อชวีจงเทียนมองเห็นหยกชิ้นนี้เข้า หัวใจได้แตกสลายไปเป็นหมดแล้ว เขาทราบดีว่าเพื่อนรักของตนเองมิมีทางที่จะได้กลับมาอีกแล้ว
หลังนั้นมาฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาช่างใช้เส้นเงินซ่อมแซมกลับมาเป็นเช่นเดิม จนกลายเป็นหยกที่สวมใส่ลายเส้นด้ายสีทองในวันนี้ ก่อนจะถวายคืนให้กับวังหลวงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...