ณ ตำหนักยางหวา
เซียวเฉวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่มีความขรุขระ เก้าอี้ในพระราชวังนี่เป็นอย่างไรกัน ไม่มีแม้แต่เบาะรองนั่งเลยสักผืน
“ผู้ใดก็ได้ นำเบาะรองมาให้ข้าหน่อยสิ”
“ขอรับ ๆ ๆ ราชครู จัดการให้ทันทีขอรับ”
“ข้าอยากดื่มน้ำ”
“ราชครู เชิญดื่มน้ำเพคะ”
“อากาศหนาวจัง จุดถ่านให้ข้าหน่อย”
“ราชครู ถ่านได้แล้วขอรับ”
ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะว่าสิ่งใด เหล่าข้าหลวงหญิงและเหล่าขันทีต่างทำตามคำสั่งโดยทันที
ความต้องการของเซียวเฉวียน มีพวกเขาคอยสนอง
ยิ่งพวกเขาสนองความต้องการ เซียวเฉวียนก็จะยิ่งมีพลัง ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะตัดสินใจดีแล้วจริง ๆ!
ฮ่องเต้รู้แน่ว่าเซียวเฉวียนต้องจงใจทำเช่นนี้ จึงสั่งให้ขันทีและข้าหลวงหญิงเหล่านี้คอยปรนนิบัติอย่างรอบด้าน
เซียวเฉวียนและฮ่องเต้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับฮ่องเต้หรือไม่ ถึงให้เขามาเป็นราชครู?
ใครคือผู้เสนอความคิดเช่นนี้? สิ่งนี้ดูไม่เหมือนความคิดของฮ่องเอาเสียเลย
เซียวเฉวียนนั่งอยู่บนที่นั่งในพระราชวัง พวกไป๋ฉี่นั่งอยู่สองด้านของพระตำหนักด้านใน นอกจากไป๋ฉี่ คนอื่น ๆ ต่างพากันตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
“ว้าว ๆ ๆพระราชวังใหญ่จริง ๆ!”
“ช่างหรูหราเหลือเกิน! เสาต้นนี้ราคากี่ตำลึงกันนี่?”
“ดูแก้วดื่มชาสิ ช่างละเอียดอ่อนเสียจริง ราวกับว่าจะแตกในทันทีที่สัมผัส”
ท่าทางตื่นเต้นดีใจของพวกเขา ทำให้ขันทีและเหล่าข้าหลวงหญิงรังเกียจอย่างมาก พวกบ้านนอกไม่เคยออกจากกะลา
หนึ่งในกลุ่มของข้าหลวงหญิงทำเสียงฮึดฮัด “พวกบ้านนอก! ไม่ได้เรื่อง!”
เสียงที่เบาที่สุด ทว่าเซียวเฉวียนกลับได้ยิน
บ่าวรับใช้เหล่านี้พึมพำในใจ และถากถางพวกของไป๋ฉี่ เซียวเฉวียนที่ได้ยินเสียงความคิดพวกเขาไม่ได้สนใจ
ทว่าหากพูดออกมา ผลลัพธ์จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ผู้ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่ควรได้แสดงความสามารถของตน แม้ว่าเซียวเฉวียนไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นแต่เมื่อมีหัวโขนของราชครู เช่นนั้นเซียวเฉวียนจึงไม่อาจปล่อยปะละเลยได้
“เจ้าหยุดก่อน”
เซียวเฉวียนเรียกข้าหลวงหญิงที่พูดจาดูถูกเมื่อครู่ และพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร?”
ข้าหลวงหญิงตัวสั่นเทิ้ม นางพูดเสียงเบาขนาดนั้น ราชครูได้ยินด้วยงั้นหรือ?
นางคุกเข่าลงบนพื้นดัง ตุบ “ราชครู โปรดอภัยด้วย!”
“ข้าถามว่าเมื่อครู่เจ้าพูดอะไร เจ้าพูดอีกรอบหนึ่งสิ” เซียวเฉวียนพูดอย่างใจเย็น แค่สาวใช้ตัวเล็ก ๆ เขาไม่ถึงขนาดเอาชีวิตนางหรอก “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะดึงลิ้นของเจ้าออกเสีย”
ข้าหลวงหญิงผู้นั้นส่ายหัวอย่างรุนแรง “บ่าวพูด! บ่าวพูด! เมื่อครู่บ่าวพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเพคะ...”
หัวของนางก้มลงต่ำจนไม่อาจต่ำไปมากกว่านี้แล้ว “บ่าวพูดว่าพวกคนบ้านนอก… ไม่ได้เรื่อง...” “เจ้า!” เหมิงเอ้าไม่พอใจอย่างมาก ไป๋ฉี่ส่งสายตาให้เพื่อยุติการกระทำของพี่ชายใหญ่เหมิงเอ้า เหมิงเอ้าจึงทำได้เพียงสะบัดมือลงอย่างแรง หึ!
“เจ้าต้องการจะบอกว่า ผู้อารักขาของข้าไร้ความรู้สินะ” เซียวเฉวียนยิ้มบาง ๆ พลางหยิบแก้วใบหนึ่งขึ้นมา “เช่นนั้นแม่นางบอกข้าหน่อยเถิด ว่าแก้วในมือของข้าใบนี้เป็นกระเบื้องอะไร? ผลิตที่ไหน? มีคุณสมบัติอะไร? และสิ่งที่น่าหลงใหลของมันอยู่ที่ใด?”
เซียวเฉวียนร่ายคำถามยาวเหยียด ทำให้ข้าหลวงหญิงถึงกับอ้ำอึ้งพูดไม่ออก
ข้าหลวงหญิงในสมัยโบราณที่สามารถเข้ามารับใช้ในพระตำหนักใหญ่ได้นั้น ต่างต้องมีความรู้ความสามารถ แต่ก็รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ที่ร่ำเรียนหนังสือจนประสิทธิ์ประสาทวิชา จะสามารถตอบคำถามเฉพาะด้านของเซียวเฉวียนได้อย่างไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...