ตอน บทที่ 671 ปะทะกันอย่างดุเดือด จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 671 ปะทะกันอย่างดุเดือด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
พระราชวัง เป็นเวลากลางคืนแล้ว ดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือต้นหลิว
ฉินซูโหรวแอบแฝงเพื่อตามเซียวเฉวียน แอบเข้าไปอยู่ในพระราชวัง
และฉินซูโหรวใช้โอกาสนี้ในเวลากลางคืน กลับไปบ้านที่ไม่ได้กลับไปนานแล้ว
ทุกอย่างเงียบสงบ ใครบุกเข้ามา เว่ยอู๋จี้เพียงขยับหูฟังก็ได้ยินเสียง
เขากำลังจะหันกลับไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพลังเปล่งประกายก็มายืนอยู่ต่อหน้าเขา เว่ยอู๋จี้พูดออกไปเยือกเย็น :“เจ้าเป็นใคร!”
“ฉินซูโหรว นายท่านตัวจริงของเจ้า”
ฉินซูโหรวมองดูเขาอย่างเรียบเฉย และก็มองดูกระบี่ชีวันที่อยู่ในมือของเขา
ตอนนี้ฉินซูโหรวปิดบังใบหน้าอยู่ เห็นเพียงแค่ดวงตาสองข้าง ทันใดนั้นนางก็พูดขึ้นมาด้วยประโยคนี้ เว่ยอู๋จี้จะต้องรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก :“เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล!นายท่านของข้าเข้าวังไปแล้ว เจ้ามันเป็นตัวปลอมมาจากไหนกัน!”
“บังอาจ” ดวงตาของฉินซูโหรวเป็นประกาย น้ำเสียงยังคงเบาและอ่อนโยน:“เจ้าเป็นผู้อารักขาของข้า ไปที่รัฐมนตรีการคลังสาบานตน ชื่อนายท่านก็คือฉินซูโหรวเป็นชื่อของข้า ข้าจะเป็นตัวปลอมได้อย่างไร?”
เว่ยอู๋จี้ไม่รู้จักนายท่านจริงๆ ขมวดคิ้ว:“ออกไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ฉินซูโหรวนิ่งสงบ มุมปากยกยิ้มขึ้น:“อย่าปากดีให้มาก เว่ยอู๋จี้ ข้าเป็นนายท่านของเจ้าจริงๆ วันนี้มาที่นี่ ก็เพื่อจะมาผูกจิตกับเจ้า!”
“ถ้าข้ากับเจ้าสามารถผูกจิตได้ เจ้าก็จะรู้ว่าข้าใช่นายท่านของเจ้าหรือไม่!”
เว่ยอู๋จี้ตกตะลึงงง เพียงแค่เห็นดวงตาทั้งสองข้างที่เปล่างประกายของฉินซูโหรวกำลังมองเขาอยู่ ปากก็พูดคำกวีอะไรไม่รู้
“อ๊าก!”
จวนฉินที่เงียบสงบ มีเสียงร้องเจ็บปวดของเว่ยอู๋จี้ดังขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ปัญญาชนและผู้อารักขามีการติดต่อกัน ถ้าจะบอกว่าเจ็บปวดอย่างมากก็คงจะไม่เกินไป นี้คือกระบวนการขั้นตอนหนึ่ง เรียกว่าการผูกจิต
ความเจ็บปวดของการผูกจิต มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทนรับความเจ็บปวดได้!
ปัญญาชนก็เจ็บปวด ผู้อารักขาก็เจ็บปวด!
แต่ฉินซูโหรวไม่กลัวอะไรทั้งนั้น พอมาถึงก็ผูกจิตกับเว่ยอู๋จี้ ทำให้เห็นว่า นิสัยของฉินซูโหรวเมื่อพูดว่าทำก็ทำเลยทันที
ไป๋ฉี่ที่กำลังแอบมองดูสังเกตการณ์อยู่ในที่มืด มองดูฉินซูโหรวและเว่ยอู๋จี้ผูกจิต การผูกจิตเจ็บปวดอย่างมากจนหัวแทบจะระเบิด จนถึงวันนี้ไป๋ฉี่ยังจำได้อย่างชัดเจน
ในตอนนั้น ไป๋ฉี่กับอู๋ชือต่อสู้กัน และนายท่านประชันกลอนกับอู๋ชือ
การผูกจิตเจ็บปวดอย่างมาก ความเจ็บปวดนี้ ปัญญาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมที่จะทนรับมันไว้
ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้ปัญญาชนจะมีผู้อารักขา แต่ปัญญาชนส่วนมากก็ไม่ได้ผูกจิตกับผู้อารักขาของตัวเอง ปัญญาชนเหล่านี้ อย่างแรกคือกลัวเจ็บปวด อย่างที่สองคือไม่ได้ต้องการผู้อารักขาที่มีพลังการต่อสู้ที่สูงมาก อย่างที่สามคือระดับความสามารถในบทกวีของตัวเองไม่ดีพอ การผูกจิตไปก็ไม่มีประโชยน์อะไร
ผู้ชายคนหนึ่งมีท่าทางสงสัยคิดมากเกินไป แต่ฉินซูโหรวไม่ลังเลแม้แต่น้อยก็ทำไปแล้ว
ทำให้เห็นว่า นางมีจิตใจที่กล้าหาญสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เว่ยอู๋จี้เจ็บปวดเหงื่อไหลเย็นเยือก สีหน้าของฉินซูโหรวซีดชาวผิดปกติ ความเจ็บปวดของทั้งสองคน เจ็บปวดอย่างมากเหมือนโดนถลกหนังหักกระดูก
ฉินซูโหรวที่ตัวเล็กร่างกายผอมอ่อนแออย่างมาก พยายามอดทนอย่างยากลำบาก ไม่ยอมให้ตัวเองล้มลง พยายามรักษาศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นนายท่านคนหนึ่งไว้
ไป๋ฉี่ขมวดคิ้ว นายท่านพูดถูก ฉินซูโหรวแข็งแกร่งกว่าผู้แอบแฝงมากจริงๆ
แต่ยังดีว่า ทั้งสองคนผูกจิตสำเร็จแล้ว
เมื่อจิตของฉินซูโหรวเคลื่อนไหว เว่ยอู๋จี้ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึก
“ตอนนี้ เจ้าเชื่อข้าแล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นนายท่านของเจ้าจริงๆ?” ฉินซูโหรวเจ็บปวดจนน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย แต่ว่า สายตายังคงแน่วแน่ผิดปกติ “ข้ารู้เจ้ายังสงสัยอยู่ เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้น”
ในตอนนี้เว่ยอู๋จี้รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังจากที่ตกใจจากการผูกจิต เพิ่งจะรู้ว่าคำพูดของฉินซูโหรวนั่นพูดจริง ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น คำนับ:“ข้าน้อยคารวะนายท่าน!”
“ไม่ต้องคุกเข่าให้ข้า” ฉินซูโหรวยื่นมือออกไป ค่อยๆพยุงเว่ยอู๋จี้ให้ลุกขึ้น:“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นองค์หญิง เจ้าก็ไม่ใช่คนรับใช้ของคุนหลุนแล้ว แต่เป็นผู้อารักขาแล้ว หลังจากข้ากับเจ้าผูกจิตกันแล้ว ก็เป็นสหายกัน ไม่มีใครสูงกว่าต่ำกว่ากัน
เหงื่อไหลจากหน้าผากของนาง แสดงให้เห็นได้ว่าการผูกจิตทำให้ฉินซูโหรวอ่อนแรงอย่างมาก
เมื่อไป๋ฉี่ได้ยินคำพูดนี้ก็ตกใจ คำพูดที่ฉินซูโหรวพูดในตอนนี้ เหมือนกันกับคำพูดของเซียวเฉวียนที่เคยพูดในตอนนั้นที่รับไป๋ฉี่เป็นผู้อารักขา
แม้กระทั่งความหนักแน่นของน้ำเสียง ก็ยังเหมือนกันอย่างมาก
“อื้ม นายท่าน ข้าไม่คุกเข่า ท่านรีบนั่งก่อน” เว่ยอู๋จี้รีบเข้าไปพยุงนางไว้ ฉินซูโหรวพูดขึ้นมาทันที:“ไม่ต้อง เจ้าเอากระบี่ชีวันมาให้ข้า”
“ไป๋ฉี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าค่อยปกป้องคุ้มครองนายท่าน” ฉินซูโหรวยิ้มอย่างอ่อนโยน:“แต่เรื่องกระบี่ชีวัน ถึงแม้ว่านายท่านของเจ้าจะมีคำสั่งมา เจ้าก็ไม่ควรมาขวางข้า”
“แต่......”
“เจ้าคงไม่อยากให้นายท่านของเจ้าต้องตายเพราะมันใช่ไหม?”
“......” ไป๋ฉี่เป็นคนๆหนึ่งที่อยู่ในระดับเทพสงคราม ทำเพื่อเซียวเฉวียนระงับการฆ่าล้างไว้ มาวันนี้กลับถูกฉินซูโหรวผู้หญิงคนหนึ่งแย่งพูดไปหมดแล้ว เป็นถึงเทพสงคราม ตกตะลึงจนคำพูดที่จะพูด ยังพูดไม่จบกลับถูกขัดจังหวะเสียก่อน
ท่าทางของไป๋ฉี่ชะงักค้างอยู่ เหมือนกับท่าทางของเซียวเฉวียนตอนที่โกธรจนไม่รู้จะพูดอย่างไร
ฉินซูโหรวและเซียวเฉวียนเหมือนกันมาก คำพูดแค่เพียงประโยคเดียวแต่สามารถจี้ถูกจุดอ่อนของคนอื่นได้
“ไป๋ฉี่” สายตาของฉินซูโหรวนิ่งสงบแน่วแน่ “เจ้าในฐานนะผู้อารักขา หน้าที่คือปกป้องเจ้านาย ตอนนี่ที่ข้าทำก็ทำเพื่อเซียวเฉวียน เจ้าอย่ามาห้ามข้าเลย”
“เว่ยอู๋จี้ ขวางไป๋ฉี่ไว้” ฉินซูโหรวหยิบกระบี่ชีวันที่เยือกเย็นเข้าไปถึงกระดูก หันหน้าเดินออกไป
เว่ยอู๋จี้รู้สึกสับสน แต่ก็พยักหน้า:“อื้ม นายท่าน”
ไป๋ฉี่เห็นนางเดินจากไปไกล กำลังจะรีบพุ่งตัวออกไป เว่ยอู๋จี้ก็เข้ามาขวางเขาไว้ :“หยุดนะ!นายท่านของข้าไม่ต้องการให้เจ้าตามไป!”
“เว่ยอู๋จี้!เจ้าโง่เอ้ย!” ไป๋ฉี่โมโหตะโกนพูด “เจ้ามาขวางข้าทำไม!ข้าจะตามนางไป ก็เพื่อต้องการจะปกป้องนายท่านของเจ้า!”
“ไม่ต้องพูดมาก!” เว่ยอู๋จี้โกรธพูดออกไป นายท่านให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำอย่างนั้น คำพูดของคนอื่นข้าไม่เชื่อ:“เซียวเฉวียนจะหวังดีอย่างนั้นเหรอ?”
ไป๋ฉี่ลืมคำสั่งของเซียวเฉวียนไปหมดแล้ว ชาตินี้อย่างไรเว่ยอู๋จี้ยังเป็นคงเป็นศัตรูของเขา จะต้องระวังและระวังให้มาก
ไป๋ฉี่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างมาก เว่ยอู๋จี้ก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้ว :“งั้นเจ้าก็ลองไม่เกรงใจดูสิ!”
ทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด ในขณะที่ทนไม่ไหวต้องการที่จะฆ่าฝ่ายตรงข้าม ก็มีเสียงโกรธดังลงมาจากด้านบนหลังคา
“เอ๊ะ เจ้าบ้าสองคนนี่กำลังทำอะไรกัน!พวกเจ้าจะต่อสู้กันไปทำไมห๊ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...