ตราหยกที่ห้อยตรงเอวนั้น มีไว้ให้สำหรับเจ้าหน้าที่ขุนนางขั้นหนึ่งเท่านั้น ดูท่าแล้ว เซียวเฉวียนคงจะได้รับการเลื่อนขั้นแล้วเป็นแน่
เหล่าขุนนางมากมายพลันมีสีหน้าดูสับสนไปในทันที เหตุใดเซียวเฉวียนจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งได้เล่า?
เขาทำเรื่องอันใดลงไปหรือ?
เหตุใดคิดจะเลื่อนตำแหน่งก็สามารถทำได้ไวถึงเพียงนี้?
“ฝ่าบาททรงรับสั่งแล้วว่า! ราชองครักษ์ของราชวงศ์มิควรจู่โจมกองทัพของตระกูลฉินอีก! ถอยไปเสีย!”
เซียวเฉวียนที่ถือตราหยกขึ้นมานั้น พลางส่งเสียงประกาศกร้าวออกมาเสียจนทำเอาผู้คนที่ได้ยินถึงกับขนลุกไปตาม ๆ กัน ฝ่าบาทหาได้ปรากฎตัวออกมาสักครั้งไม่ เหตุใดถึงมีรับสั่งให้เซียวเฉวียนมาปรากฎตัวพร้อมกับตราหยกในยามนี้ได้เล่า?
ตราหยกนี่! เป็นสิ่งของที่ล้ำค่ายิ่งนัก!
ถึงแม้ว่าเซียวเฉวียนจักเป็นถึงท่านราชครูของฝ่าบาททั้งยังเป็นถึงประมุขแห่งชิงหยวนก็ตาม หากแต่เขาก็มิมีสิทธิ์ที่จะหยิบยกตราหยกของฝ่าบาทมาสั่งการอันใดกับพวกเขาได้ไม่!
ผู้คนที่สามารถจับตราหยกของฝ่าบาทมาได้ตลอดนั้น หากมิใช่เจียนกั๋วก็ย่อมเป็นเหล่าขุนนางขั้นสูงมาโดยตลอด เช่นท่านอัครเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เซียวเฉวียนที่เป็นเพียงขุนนางขั้นสามที่เพิ่งประสบความสำเร็จมาไม่นานนั้นมีสิทธิ์อันใด!
มีสิทธิ์อันใด!
เซียวเฉวียนมีสิทธิ์อันใดหาใช่เรื่องสำคัญไม่ หากแต่สิ่งที่สำคัญก็คือตราหยกนี้เป็นของจริง เหล่าราชองครักษ์ของพระราชวังที่ดุดันจนน้ำไม่อาจดับไฟลงได้นั้น ถึงกับรีบหยุดมือลงไปในทันที ฉินเซิงเองก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกด้วยเช่นกัน ก่อนจะแอบยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เซียวเฉวียน จากนั้นจึงหันกลับมาร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า "หยุดการโจมตี! หยุดการโจมตีบัดเดี๋ยวนี้!"
“พ่ะย่ะค่ะ!"
ทั่วร่างที่เต็มไปด้วยเลือดมากมายของเหล่าทหารกองทัพตระกูลฉินนั้น จึงรีบวางอาวุธในมือลงในทันที
ทั่วร่างของฉินเซิงที่เต็มไปด้วยเลือดมากมาย พลางก้าวเดินเข้ามาหาพร้อมกับฝ่ามือที่กำลังสั่นเทา
นับว่าในครานี้แตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก เดิมทีผู้ที่ถูกสังหารตายในสนามรบส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นศัตรูฝ่ายตรงข้ามกัน แต่ในวันนี้ ผู้ที่ถูกพวกเขาสังหารไปกลับเป็นชาวต้าเว่ยแทน ใบหน้าของฉินเซิงเต็มไปด้วยรอยเลือดมากมาย หาได้มีความตื่นเต้นอันใดไม่ มีแต่ความเจ็บปวดและอาการทำอะไรไม่ถูกแทน
ฉินเซิงรู้สึกว่าตนเองกำลังทำบาป เซียวเฉวียนผู้ซึ่งมาพร้อมกับตราหยกของฝ่าบาทนั้น เสมือนกับเขามาช่วยชีวิตของฉินเซิงเอาไว้
“เซียวเฉวียน! ฝ่าบาทอยู่ที่ใดกัน!” ในขณะเดียวกัน ชายชราผู้หนึ่งพลางยืนลูบเคราของตนเองไปมาอยู่ด้านหน้า พร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจต่อเซียวเฉวียนออกมาอย่างชัดเจน ขาดก็แต่เขียนอักษรลงไปบนหน้าตาของเขาเท่านั้น
บุคคลผู้นี้เคยเป็นลูกน้องของอัครเสนาบดีจู ซึ่งมีนามว่าจางจิ่น
หลังจากที่อัครเสนาบดีจูเสียชีวิตลงนั้น จางจิ่นจึงเป็นบุคคลที่มีแนวโน้มที่จะได้ขึ้นเป็นท่านอัครเสนาบดีคนต่อไปมากที่สุด คนผู้นี้มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งของท่านอัครมหาเสนาบดีจูอีกด้วย
ในยามนี้ จางจิ่นเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ของกองกำลังฝ่ายราชการของจวนอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีเป็นการชั่วคราวอีกด้วย เนื่องจากว่าฝ่าบาทเอาแต่เลื่อนการคัดเลือกตำแหน่งอัครเสนาบดีคนใหม่ออกไป ดังนั้นตำแหน่งนี้จึงยังมิได้รับการตัดสินลงมา อย่างไรก็ตาม จางจิ่นกลับถือหางว่าตนเองจักต้องได้เป็นอัครเสนาบดีมาโดยตลอด เมื่อมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นนั้น เขามักจะยืนเป็นคนแรกเพื่อเอ่ยถามถึงเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียด
เมื่อมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในยามนี้ แน่นอนว่าเขาจักต้องเป็นผู้ลุกขึ้นเอ่ยถามความเป็นไปแทน
เดิมทีเขาวางแผนที่จะแสดงความสามารถของการที่จะขึ้นมาเป็นอัครเสนาบดีในภายหลัง ทว่า เมื่อเขาเห็นเซียวเฉวียนออกมาพร้อมกับตราหยกของฝ่าบาทนั้น รวมไปถึงตราประจำตัวของขุนนางขั้นหนึ่งที่ห้อยอยู่ข้างเอว เขาจึงไม่อาจสงบจิตสงบใจได้เช่นเดิม ในเมื่อฝ่าบาทเลื่อนขั้นเซียวเฉวียนขึ้นมาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่มอบตำแหน่งให้เซียวเฉวียนเป็นถึงราชครูแล้วนั้น หากแต่ยังนึกให้เซียวเฉวียนเป็นอัครเสนาบดีอีกหรือ?
ในใจของจางจิ่นในยามนี้ เซียวเฉวียนก็เป็นเพียงแค่เด็กเมื่อวานซืน ทั้งยังเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของเขาอีกด้วย
จางจิ่นจึงร้องตะโกนใส่เซียวเฉวียนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า "ตราหยกเป็นสิ่งของล้ำค่ามากเพียงไร! เจ้าจักมาถือเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! ผู้ที่ถือได้ย่อมต้องเป็นข้าไม่ก็ท่านแม่ทัพฉินเท่านั้น!"
“นั่นสินั่นสิ” เหล่าขุนนางคนอื่น ๆ ต่างพากันร้องรับในทันที ทั้งยังเอยเห็นด้วยออกมาทีละสองสามคำ ก่อนจะเหล่มองเซียวเฉวียนด้วยหางตา “ในยามนี้พวกข้าหาได้พบเจอฝ่าบาทไม่ ผู้ใดจักไปรู้กันว่าเจ้านำตราหยกออกมาได้อย่างไร?”
“แม้นว่าไทเฮาจักเป็นผู้ริเริ่มก่อการรัฐประหารในพระราชวังก็ตาม อีกทั้งตราหยกของฝ่าบาทยังอยู่ในมือของเซียวเฉวียนอีก บางทีอาจมีคนขโมยมันมาก็เป็นได้!”
"ใช่ใช่ใช่! พวกเราห้ามฟังคำของเซียวเฉวียนเป็นอันขาด!”
เฮอะ! เซียวเฉวียนแทบจะหัวเราะออกมา เขาหาได้ทำเรื่องเลวร้ายอันใดไม่ สิ่งเดียวที่เขาก็เป็นเพียงแค่ทำให้ทั้งสองฝ่ายยุติการโจมตีกันเท่านั้น เหตุใดพวกเขาถึงไม่ฟังเซียวเฉวียน?
"เช่นนั้นพวกท่านก็ต่อสู้กันเสีย"
เซียวเฉวียนจับตราหยกในมืออย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอย่างเยือกเย็นปนเยาะเย้ยออกมาว่า "มา สู้กันเสีย! ราชองครักษ์ในพระราชวัง กองทัพตระกูลฉิน รวมไปถึงเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย พวกท่านรีบเข้าโรมรันกันให้ไว เชิญพวกท่านตามสบายเลย!"
ใบหน้าของทุกคนพลันมืดมนลงไปในทันที เซียวเฉวียนหมายความว่าอันใดกัน?
ในหมู่อัครเสนาบดีนั้น มีอัครเสนาบดีจูและสมุหพระกลาโหมจ้าวที่ตกตายไปแล้ว ดังนั้นตำแหน่งทั้งสองในยามจึงยังว่างเว้นเอาไว้ การที่เซียวเฉวียนสามารถครอบครองตราหยกข้างเอวนี้ได้นั้น ย่อมหมายความว่าเขาอาจจะได้รับตำแหน่งไหนตำแหน่งหนึ่งในจากในสองตำแหน่งนี้ ทว่า ตำแหน่งสองตำแหน่งนี้นั้น ล้วนแต่เป็นตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าของจางจิ่นที่เข้ามารับตำแหน่งอัครเสนาบดีชั่วคราวไม่ใช่หรือ?
“พวกข้าต้องการเข้าพบฝ่าบาท! เซียวเฉวียน! ถึงแม้ว่าเจ้าจักนำตราหยกเข้ามากล่าวอ้างอย่างไร้สาระก็ตาม ทว่า พวกข้าทุกคนต้องการจะเข้าพบฝ่าบาท!”
เหล่าบรรดาข้าราชบริพารในยามนี้ต่างก็พากันโบกไม้โบกมือไปมาด้วยความไม่พอใจ เซียวเฉวียนช่างหยิ่งผยองเกินไปแล้ว! พวกเขาไม่เชื่อหรอก ว่าฝ่าบาทจะขึ้นตำแหน่งให้คนคนเดียวเช่นนี้! แม้แต่ในอดีตก็ไม่อาจเป็นไปได้!
เซียวเฉวียนเพิ่งจะขึ้นมารับตำแหน่งขุนนางขั้นสามได้ไม่เท่าไหร่เลย ในยามนี้กลับได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่งเช่นนี้!
มันหาใช่เรื่องสมเหตุสมผลไม่!
เซียวเฉวียนเองก็หาได้มีความสามารถมากมายถึงเพียงนั้น! พวกเขาย่อมไม่พอใจ!
“ใช่! พวกข้าต้องการเข้าพบฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาทอยู่ที่ใด! พวกข้าต้องการเข้าพบฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่ง ต่างพากันทำตัวราวกับโจรภูเขาก็ไม่ปาน พร้อมทั้งพากันส่งเสียงโวยวายอึกทึกครึกโครมออกมา
เซียวเฉวียนพลางร้องตะโกนก่อนจะชักดาบจิงหุนออกมาในทันที "หากต้องการจะพบฝ่าบาทนั้น! ก่อนจักไปที่พระราชวังฉางหมิง! ที่เป็นส่วนตำหนักในที่ลึกที่สุด! พวกท่านลืมหน้าที่ในฐานะของขุนนางไปแล้วหรืออย่างไรกัน?"
“ข้ามิเพียงได้รับหน้าที่มาถ่ายทอดคำสั่งการของฝ่าบาทเท่านั้น แต่ยังต้องจะส่งสารมาบอกกับพวกท่านอีกว่า หากพวกท่านคิดจะใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในครานี้ เพื่อบุกย่างกรายเข้าไปในพระราชวังฝ่ายในเพียงเพราะเป็นกังวลในตัวฝ่าบาทละก็ ฝ่าบาทเข้าใจในความห่วงใยของพวกท่านเป็นอย่างดี!”
“หากว่าพวกท่านก้าวเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียวละก็! หลงลืมกฎเกณฑ์ที่มีอย่างยาวนานไป อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจพวกท่านแล้วกัน!”
เซียวเฉวียนเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับประกายดาบจิงหุนที่แวววับออกมา พร้อมทั้งกลิ่นอายโดยรอบที่เต็มไปด้วยความกดดันในทันที
เมื่อฉินเซิงได้ยินเช่นนั้น เขาจึงดึงบังเหียนม้าให้หันหน้าไปอีกทาง เพื่อไปยืนข้างกายเซียวเฉวียน ก่อนจะยกดาบชี้ไปที่เหล้าข้าราชบริพารทุกนายว่า "ถอย! มิฉะนั้นข้าจักสังหารพวกเจ้าทิ้งเสีย!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...