น้ำเสียงของจักรพรรดิพลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ทั้งยังเจือไปด้วยความดื้อรั้นที่มิทันได้สังเกตเห็น
ความดื้อรั้นที่ว่า ถึงแม้เซียวเฉวียนจะกล่าวว่าเขามิอาจอยู่ด้วยได้ตลอดไป หากแต่ฝ่าบาทก็จะแสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง
“ตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเป็นมือขวาของพระองค์ตลอดไป”
เซียวเฉวียนตอบกลับ มีเพียงประโยคเท่านั้น ที่ทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกวางพระทัยลงมาได้
ฝ่าบาทจึงพยักหน้าลงเบา ๆ เล็กน้อย "ท่านราชครูกลับไปเถิด ว่าความยามเช้าในวันนี้เจิ้นจักจัดการด้วยตนเอง"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ฝ่าบาทกำลังปฏิบัติตามคำสัญญาของตนเองที่เคยให้กับเซียวเฉวียนเอาไว้ ทั้งยังเริ่มที่จะปลดปล่อยเซียวเฉวียนออกมาแล้ว
ฝ่าบาทรู้สึกว่า องค์ไทเฮาหยิบยกข้ออ้างที่เซียวเฉวียนปฏิเสธที่จะขึ้นว่าความยามเช้า มาเป็นข้ออ้างในการลงโทษและตำหนิเซียวเฉวียนว่า เขาไม่เคารพต่อเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังมีท่าทีขัดคำสั่งของฝ่าบาทอีก เพื่อที่จะกล่าวหาว่าที่เซียวเฉวียนมีเจตนาก่อกบฏ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าทำให้สถานการณ์ภายในพระราชวังเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก ทว่า ฝ่าบาทหาได้คะยั้นคะยอให้เซียวเฉวียนไปที่ท้องพระโรงไม่ เขายังคงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับราชครูเซียวเฉวียนว่ามิต้องไปที่ท้องพระโรงเช่นเดิม ทั้งยังเป็นการปกป้องเซียวเฉวียนโดยตรงและชัดเจนต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพารและขุนนางน้อยใหญ่ที่ทั้งหมดอีกด้วย
การกระทำเช่นนี้ขององค์จักรพรรดิ ยังนับว่าเป็นการเคารพและรักษากฎเกณฑ์รวมไปถึงอำนาจที่ตนเองมีอย่างเคร่งครัด ด้วยคำกล่าวที่ว่า คำพูดของเจิ้นมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง มิว่าสถานการณ์จักเป็นเช่นไร ผู้ใด เรื่องอันใด เขามิอาจพูดจากลับกลอกไปมาได้
“แล้วองค์ไทเฮา...”
"เจิ้นจักเป็นคนจัดการเอง" หน้าอกของจักรพรรดิพลันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ทว่า พลังขององค์จัดพรรดิยังคงยืดตรง ก่อนจะกุมขยับเพื่อหยุดความเจ็บปวดลง "เรื่องราวในวังหลวงล้วนแต่จบลงแล้วสำหรับท่านราชครู ท่านราชครูรีบไปตามหาเจ้าเว่ยเป่าคนทรยศผู้นั้นเถิด”
“นำคนทรยศผู้นี้มาหาเจิ้นให้จงได้ แล้วเจิ้นจักเป็นผู้ตัดสินแทนราชครูอย่างยุติธรรมเอง”
แววตาขององค์จักรพรรดิพลันเย็นชายิ่งนัก ก่อนจะเจือไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันฉายออกมาอย่างชัดเจน หากแต่มีเพียงคำว่าราชครูเท่านั้นที่เอ่ยออกมาด้วยความอบอุ่นเจือปนเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเฉวียนพยักหน้าลง เมื่อเห็นจักรพรรดิจ้องมองดูเขาอย่างเงียบๆ นั้น พร้อมกับกุมบังเหียนม้าและปีนขึ้นไปบนบันไดทีละขั้น
แผ่นหลังของจักรพรรดิหนุ่มที่อยู่บนหลังม้านั้น เพรียวผ่อนร่างบางเป็นอย่างมาก จนมิอาจสวมใส่ชุดเดิมได้อีกต่อไป เขาถูกองค์ไทเฮากักขังตนเองเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว ร่างกายถึงได้ผ่ายผอมลงมากถึงเพียงนี้
เสมือนกับคำว่า "ใช้ชีวิตผ่านไปเพียงหนึ่งวันเสมือนผ่านไปนับปี" นี่จักต้องเป็นประสบการณ์ที่มิทำให้ฝ่าบาทหลงลืมไปอย่างแน่นอน
แผ่นหลังขององค์จักรพรรดินั้น ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความโหดเหี้ยมที่หลั่งไหลออกมาจากกระดูกดำของสายเลือดพระองค์เอง
จักรพรรดิค่อย ๆ เสด็จขึ้นบันไดอย่างช้า ๆ
เพื่อเข้าสู่พระราชวังฉางหมิง
พร้อมทั้งเซียวเฉวียนที่ได้ยินเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารร้องตะโกนออกมามากมายว่า "กระหม่อมขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!"
“ขุนนางทุกท่านมิต้องมากพิธีไป”
เสียงขององค์จักรพรรดิกลับบางเบาและเต็มไปด้วยความเฉยเมยยิ่งนัก
มันบางเบามากเสียจน แม้แต่อารมณ์สงบนิ่งในอดีตก็ได้อันตรธานหายไป
แม้ว่าจักรพรรดิจะมิได้เอ่ยอันใดออกมาสักคำเดียว หากแต่เซียวเฉวียนก็สามารถสัมผัสได้ถึงระหว่างคำพูดของฝ่าบาทที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเย็นชาที่แผ่กระจายออกมาได้เป็นอย่างดี
เพียงผ่านพ้นไปคืนเดียว ราวกับองค์จักรพรรดิได้เติบโตขึ้นมาไม่น้อย
เซียวเฉวียนถอยหลังลงไปหนึ่งก้าว ก่อนจะหันหลังกลับออกไปเพื่อมุ่งหน้าออกจากพระราชวัง
ในยามนี้ เสียงร่ำไห้คร่ำครวญขององค์ไทเฮายังคงดังก้องอยู่ในหูของเซียวเฉวียน นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทออกจากตำหนักเล็กนั้น เสียงคร่ำครวญความเจ็บปวดของพระนางหาได้หยุดลงไม่ เซียวเฉวียนเชื่อว่าระหว่างทางที่เดินมาฝ่าบาททรงได้ยินเช่นกัน หากแต่พระองค์กลับเมินเฉยมิได้สนใจมันไป
จนกระทั่งเซียวเฉวียนออกจากพระราชวังนั้น เซียวเฉวียนก็ยังมิได้ยินว่าฝ่าบาทตั้งใจจะจัดการกับองค์ไทเฮาเช่นไรกันแน่
หากแต่เซียวเฉวียนยังคงเชื่อว่า จักรพรรดิจะสามารถจัดการเรื่องราวในวันนี้ได้เป็นอย่างดี
เมื่อวันเวลาผ่านไป สตรีที่สามารถสั่นคลอนสถานะพระราชบัลลังก์ได้นั้น เกรงว่าองค์จักรพรรดิเองก็มิอยากจะเก็บพระนางเอาไว้
ทันทีที่เซียวเฉวียนเดินก้าวออกจากประตูวัง เขาก็รีบมุ่งหน้าตรงไปยังจวนตระกูลเซียวในทันที พร้อมทั้งระหว่างทางพลันมีเสียงลมตีเข้ามาในหูอยู่มากมาย
ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนนั้น เมื่อเห็นเซียวเฉวียนต่างก็พากันหลีกทางให้เขาแต่โดยดี พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นอกเห็นใจที่ฉายขึ้นมาในแววตาของพวกเขา
ในสายตาของคนนอกในยามนี้ เหล่าผู้อารักขาทั้งหมดของตระกูลเซียวล้วนแต่ถูกสังหารตายไปหมดแล้ว หาได้เหลือผู้รอดชีวิตออกมาสักคนไม่
มีเพียงเซียวเฉวียนเท่านั้นที่รู้ว่า ทั้งไป๋ฉีและเหมิงเอ้าแสร้งทำเป็นตายเท่านั้น อย่างน้อยเขาก็ยังหลงเหลือสองคนนี้ไว้อยู่ แต่ก็เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นจริง ๆ
เข่าของเซียวเฉวียนหนักมาก เขาเพียงก้มหน้าคุกเข่าลงโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฉวียนคุกเข่าลงต่อหน้าแม่เซียวด้วยท่าทีเคร่งขรึม ด้วยร่างของเซียวเฉวียน
"ลูกแม่...เจ้ากำลังทำอะไรกัน?"
แม่เซียวร้องตะโกนออกมา ทำเอาภายในใจของเซียวเฉวียนรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เขาก้มหน้าลงก่อนจะโขกหัวลงบนพื้น พลางกล่าวว่า "ลูกขออภัยขอรับ ที่ลูกมิอาจปกป้องจวนตระกูลเซียวของเราให้ดีได้"
เซียวเฉวียนหาได้เงยหน้าขึ้นมองไม่ ทว่า หยาดน้ำตายังคงเอ่อไหลออกมามิขาดสาย หากแต่คำตอบของแม่เซียวกลับทำให้เขานึกเศร้ายิ่งกว่าเดิม "เป็นแม่ที่ต้องขอโทษเจ้า ... "
หยดน้ำตาอุ่น ๆ พลันหยดลงบนหลังมือของเซียวเฉวียน แม่เซียวพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เซียวเฉวียนลุกขึ้น "อย่าคุกเข่า อย่าคุกเข่าให้ข้า"
มือของแม่เซียวนั้น ถึงแม้จะบอบบางแต่ก็เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งยิ่งนัก นางช่วยพยุงเซียวเฉวียนให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งเสียงร่ำไห้ออกมา "นับว่าโชคดีที่เจ้ามิได้อยู่ในจวนตระกูลเซียว มิเช่นนั้นเจ้าจักรอดได้อย่างไร!"
“เจ้าเดรัจฉานพวกนี้! ต้องการให้พวกเราตายจริง ๆ !”
ความเจ็บปวดของแม่เซียวคือความโศกเศร้าของมารดา ทั้งยังเป็นความโศกเศร้าในฐานะบรรพบุรุษของตระกูลอีกด้วย
นางที่ใช้เวลาอยู่กับเย่าเหล่าและเหล่าผู้อารักขามากมายมานานนั่น ชีวิตของผู้คนเหล่านี้ที่เสียไป นับว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของนางเป็นอย่างยิ่ง
ความโชคดีเพียงอย่างเดียวของนางก็คือ เซียวเฉวียนมิได้อยู่ที่จวนในเวลานั้น
นางคอยตรวจสอบร่องรอยของดาบและร่องรอยแผลบนตัวของเหล่าผู้อารักขามากมาย หากว่าเซียวเฉวียนอยู่ที่นี่ละก็ เกรงว่าเขาไม่อาจหลบหนีเภทภัยในครานี้ไปได้เป็นแน่
“เป็นแม่ที่ไม่ได้ปกป้องพวกเจ้าให้ดี” แม่เซียวทุบไปที่หน้าอกของตนเองอย่างรุนแรง “แม่มันเป็นแม่ที่ไร้ประโยชน์ ปล่อยให้พวกเจ้า...ปล่อยให้พวกเจ้า…”
แม่เซียวพลางเอ่ยสะอึกสะอื้นออกมามิเป็นคำพูด นางทุบหน้าอกของตนเองด้วยความเศร้า พร้อมกับเซียวเฉวียนที่เข้าไปห้ามปรามนางเอาไว้ "ท่านแม่! ไม่ นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ท่านไม่อาจคาดเดาได้ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน..."
"ข้าเดาได้!" แม่เซียวเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บช้ำ "ข้ารู้มานานแล้ว รู้แล้วว่าคนเหล่านี้อยากให้ตระกูลเซียวตกตายไป! พวกเขาจะไม่ยอมให้ตนในตระกูลเซียวคนใดเหลือรอดไปได้!"
“ลูกแม่” แม่เซียวจับมือของเซียวเฉวียนเอาไว้แน่น เสมือนว่ากำลังจะได้ทำการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากออกมา "ออกจากตระกูลเซียวไปเสีย และอย่าได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีก"
“ท่านแม่? ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอันใดกัน?” เซียวเฉวียนเอ่ยออกมาอย่างตกอกตกใจ ให้เขาออกไปหมายความว่าอย่างไรกัน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...