ชาเขียวมีชื่อจริงว่าอาจื่อ เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งพ่อแม่เป็นใคร
ตั้งแต่เล็กนางก็อาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆติดขอบชายแดนของต้าเว่ย
เมืองเล็กๆแห่งนี้พื้นดินแห้งแล้งเป็นระยะนานหลายปีจนยากต่อการปลูกพืชผลทางการเกษตร จึงไม่ได้ผลผลิตใดๆ และยังต้องทนต่อการเอารัดเอาเปรียบของผู้ถือครองที่ดินหรือเจ้าเมืองอีก
ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านแม้ทำงานมาหลายปีก็ตาม อาหารและเครื่องนุ่งห่มยังไม่ได้รับการแก้ไขไม่ว่า ยังเป็นหนี้จำนวนมหาศาล ทำให้ชาวบ้านทั้งเมืองตกอยู่ในสภาวะลำบากแสนเข็ญ!
จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วง แค่ลมพัดเท่านั้น เมืองนี้จะเต็มไปด้วยฝุ่นควัน และมีชั้นฝุ่นหนาๆปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ชาวบ้านมีชีวิตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้นานปีเข้า ใบหน้าของพวกเขาล้วนเป็นสีเหลืองดำเป็นแถบๆ ทำให้เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดี
คนอื่นมองก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่มาจากเมืองเล็กแห่งนี้ได้ทันที
ชาวบ้านเองก็ลองย้ายถิ่นไปยังสถานที่อื่น แต่หมู่บ้านที่มีข้อเสนอดีสักหน่อย คนท้องถิ่นนั้นก็ขับไล่ไสส่งคนที่มาจากต่างเมืองมากเป็นพิเศษ
เพราะชาวบ้านของเมืองนี้ขยันและทนต่องานหนัก ทั้งยังมีความต้องการข้อเรียกร้องน้อยมาก ขอแค่มีข้าวกินก็พอแล้ว แรงงานที่ค่าจ้างถูกและยังขยันขันแข็งเช่นนี้ก็ได้รับความชอบของชนชั้นสูงแห่งนั้น จึงถือเป็นการส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวบ้านในเมืองเล็กไปได้ไม่กี่วันก็ถูกชาวบ้านเจ้าถิ่นร่วมแรงร่วมใจกันขับไล่ออกมา
เป็นเช่นนี้หลายครั้งหลายคราวเข้าชาวบ้านของเมืองเล็กนี้ก็หยุดดิ้นรนแล้วอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ
ตั้งแต่อาจื่อจำความได้ เมืองเล็กก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว
เวลานั้น อาจื่อที่ยังเยาว์วัยไม่รู้เรื่องราวความเป็นไปในโลกและไม่รู้จักความรู้สึกกังวลใดๆ เรื่องที่สำคัญที่สุดในทุกๆวันคือคิดหาวิธีให้ท้องอิ่ม ขอแค่มีของกิน แม้เป็นเปลือกไม้ นางก็สามารถกินได้ราวกับได้กินอาหารอันโอชะ ใบหน้าผิวสีและอ่อนนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ชาวบ้านนิสัยใสซื่อมีเมตตา พวกเขาไม่เคยรังแกอาจื่อที่เป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งเลย ถึงขั้นบางครั้งหากอาจื่อตัวน้อยไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น พวกเขายอมท้องหิวเองก็ยังจะแบ่งของกินให้นางสักเล็กน้อย
มาคิดตอนนี้ วันเวลาในช่วงนั้นของเมืองเล็กแห่งนี้แม้จะลำบาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่อาจื่อไร้ทุกข์ไร้กังวล
ผ่านไปอย่างช้าๆ วันเวลาในเมืองเล็กลำบากขึ้นเรื่อย ๆ เปลือกไม้และรากไม้เปลี่ยนไปเป็นน้อยจนขาดแคลนมากขึ้น ยากต่อการดำรงชีวิตจริงๆ
ช่วงเวลาไปอย่างรวดเร็ว แม้วันเวลาจะยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดก็ผ่านไปในแต่ละวัน
ในปีที่อาจื่ออายุ 8 ขวบ รูปร่างหน้าตาของนางโตขึ้น แม้ว่าสีผิวของใบหน้านางจะเป็นสีดำเหลืองผิวสองสี ก็ไม่อาจปกปิดความงามลออของเบญจลักษณ์ได้ มองไม่ยากเลยว่าเมื่ออาจื่อโตไปต้องเป็นสาวงามผู้หนึ่งเป็นแน่
ชาวบ้านได้ยินมาว่าตระกูลใหญ่ร่ำรวยมีอำนาจชอบเลือกหญิงสาวที่หน้าตาดีไปเป็นสาวใช้ หากโชคดีหน่อย ถูกคุณชายตระกูลนั้นชอบเข้าก็เป็นโชคอันยิ่งใหญ่
ดังนั้นอาจื่อออกไปลองดูสักหน่อยดีกว่าอยู่ที่เมืองเล็กนี้ต่อแล้วต้องอดและท้องหิว หากถูกตระกูลไหนเลือกไปก็ดีกว่ารอวันอดตายอยู่ที่นี่เป็นไหนๆ
อายุเท่านี้ของอาจื่อก็มีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว นางและชาวบ้านต่างใจตรงกัน
ในเวลานั้นเองมีคนที่เรียกตนว่าเหรินหยาจื่อซึ่งมาเพื่อหาสาวใช้ให้ตระกูลใหญ่เพิ่งมาถึงเมืองเล็กนี้พอดี
เหรินหยาจื่อ หมายถึงคนกลางติดต่อรวบรวมคนมาจับคู่ให้ฝ่ายซื้อฝ่ายขายและได้รับค่านายหน้าจากผู้จ้าง
ส่วนใหญ่พวกเขาจะได้เซ็นสัญญาแรงงานระยะยาวและทาสให้ตระกูลที่ร่ำรวย
ในต้าเว่ยมีเหรินหยาจื่อจำนวนไม่น้อย พวกเขาเดินทางไปทั่วทุกที่ในต้าเว่ย โดยเฉพาะเมืองเล็กๆติดขอบชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนอาศัยด้วยความยากจน เพราะคนในสถานที่เหล่านี้จะมีความต้องการน้อยมาก น้อยจนขอแค่เหรินหยาจื่อสัญญาให้พวกเขากินข้าวหนึ่งมื้อแค่นั้น พวกเขาก็จะตามเหรินหยาจื่อไป
คนในเมืองเล็กๆติดขอบชายแดนอยากมีชีวิตรอดต่อไปไม่ง่ายเลยจริงๆ!
ในตอนนั้นโอกาสมากองอยู่ตรงหน้าของอาจื่อแล้ว บวกกับชาวบ้านต่างสนับสนุน อาจื่อจึงติดตามเหรินหยาจื่อไปจากเมืองเล็กแห่งนั้นด้วยความคาดหวัง
ในครั้งนี้ขอแค่อาจื่อได้เป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ นางก็จะไม่ต้องทนท้องหิวอดยาก ใช้ชีวิตที่ควรใช้ดั่งคนธรรมดา
จินตนาการแลยิ่งใหญ่ ความจริงกลับโหดร้าย
แต่อาจื่อผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องราวอะไรมาถิ่นเหรินหยาจื่อที่นี่แล้วกลายเป็นยัยทึ่มหัวแข็งที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ทั้งยังกล้าต่อปากต่อคำ?
ไม่สั่งสอนอาจื่อสักหน่อย นางจะไม่จำขึ้นใจ!
ครั้นแล้วเหรินหยาจื่อจึงลากอาจื่อไปยังห้องอื่น ตบตีเตะต่อยนางเว้นแค่ที่ใบหน้าของอาจื่อ
ใบหน้าของอาจื่อสวยงามขนาดนี้ จึงไม่อาจสร้างบาดแผลบนใบหน้าได้
“ฮือฮือ”
“ขอร้องท่าน ปล่อยข้า ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
แม้อาจื่อยังมีสีหน้ามึนงง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงโดนทำร้ายรุนแรงเช่นนี้
แต่ความเจ็บปวดที่ร่างกาย ทำให้อาจื่อไม่กล้าพูดมากอีก ได้แต่ขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาไม่หยุด
เหรินหยาจื่อได้ยินแล้วก็ยังเตะอาจื่ออย่างแรงอีกยก ทั้งยังด่าว่านังเลวถึงจะหยุดมือ
อาจื่อโอบกอดร่างกายที่สั่นระริก กลัวจนไม่กล้ามองตาเหรินหยาจื่อ จนกระทั่งได้ยินเขาปิดประตูดังปัง นางจึงทนความเจ็บแล้วลุกขึ้นมา มองห้องนี้ว่ามีทางออกให้นางหนีไปได้หรือไม่
แต่จนปัญญาห้องนี้ปิดตาย นอกจากประตูนั้นก็ไม่มีทางออกอื่นใด
ในเวลานั้นอาจื่อจะโง่ทึ่มยังไงก็รู้ว่านางถูกเหรินหยาจื่อหลอกเข้าแล้ว
นี่จะดีได้ยังไง?
อาจื่อไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ ย่อมสู้เหรินหยาจื่อไม่ได้
พบเจอเรื่องเช่นนี้เข้า อาจื่อรู้สึกหมดหนทางสุดๆในชั่วพริบตา นางร่วงลงนั่งอยู่กับพื้นด้วยความสิ้นหวัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...