ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 844

ชาเขียวมีชื่อจริงว่าอาจื่อ เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งพ่อแม่เป็นใคร

ตั้งแต่เล็กนางก็อาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆติดขอบชายแดนของต้าเว่ย

เมืองเล็กๆแห่งนี้พื้นดินแห้งแล้งเป็นระยะนานหลายปีจนยากต่อการปลูกพืชผลทางการเกษตร จึงไม่ได้ผลผลิตใดๆ และยังต้องทนต่อการเอารัดเอาเปรียบของผู้ถือครองที่ดินหรือเจ้าเมืองอีก

ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านแม้ทำงานมาหลายปีก็ตาม อาหารและเครื่องนุ่งห่มยังไม่ได้รับการแก้ไขไม่ว่า ยังเป็นหนี้จำนวนมหาศาล ทำให้ชาวบ้านทั้งเมืองตกอยู่ในสภาวะลำบากแสนเข็ญ!

จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วง แค่ลมพัดเท่านั้น เมืองนี้จะเต็มไปด้วยฝุ่นควัน และมีชั้นฝุ่นหนาๆปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ชาวบ้านมีชีวิตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้นานปีเข้า ใบหน้าของพวกเขาล้วนเป็นสีเหลืองดำเป็นแถบๆ ทำให้เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดี

คนอื่นมองก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่มาจากเมืองเล็กแห่งนี้ได้ทันที

ชาวบ้านเองก็ลองย้ายถิ่นไปยังสถานที่อื่น แต่หมู่บ้านที่มีข้อเสนอดีสักหน่อย คนท้องถิ่นนั้นก็ขับไล่ไสส่งคนที่มาจากต่างเมืองมากเป็นพิเศษ

เพราะชาวบ้านของเมืองนี้ขยันและทนต่องานหนัก ทั้งยังมีความต้องการข้อเรียกร้องน้อยมาก ขอแค่มีข้าวกินก็พอแล้ว แรงงานที่ค่าจ้างถูกและยังขยันขันแข็งเช่นนี้ก็ได้รับความชอบของชนชั้นสูงแห่งนั้น จึงถือเป็นการส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวบ้านในเมืองเล็กไปได้ไม่กี่วันก็ถูกชาวบ้านเจ้าถิ่นร่วมแรงร่วมใจกันขับไล่ออกมา

เป็นเช่นนี้หลายครั้งหลายคราวเข้าชาวบ้านของเมืองเล็กนี้ก็หยุดดิ้นรนแล้วอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ

ตั้งแต่อาจื่อจำความได้ เมืองเล็กก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว

เวลานั้น อาจื่อที่ยังเยาว์วัยไม่รู้เรื่องราวความเป็นไปในโลกและไม่รู้จักความรู้สึกกังวลใดๆ เรื่องที่สำคัญที่สุดในทุกๆวันคือคิดหาวิธีให้ท้องอิ่ม ขอแค่มีของกิน แม้เป็นเปลือกไม้ นางก็สามารถกินได้ราวกับได้กินอาหารอันโอชะ ใบหน้าผิวสีและอ่อนนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสุข

ชาวบ้านนิสัยใสซื่อมีเมตตา พวกเขาไม่เคยรังแกอาจื่อที่เป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งเลย ถึงขั้นบางครั้งหากอาจื่อตัวน้อยไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น พวกเขายอมท้องหิวเองก็ยังจะแบ่งของกินให้นางสักเล็กน้อย

มาคิดตอนนี้ วันเวลาในช่วงนั้นของเมืองเล็กแห่งนี้แม้จะลำบาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่อาจื่อไร้ทุกข์ไร้กังวล

ผ่านไปอย่างช้าๆ วันเวลาในเมืองเล็กลำบากขึ้นเรื่อย ๆ เปลือกไม้และรากไม้เปลี่ยนไปเป็นน้อยจนขาดแคลนมากขึ้น ยากต่อการดำรงชีวิตจริงๆ

ช่วงเวลาไปอย่างรวดเร็ว แม้วันเวลาจะยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดก็ผ่านไปในแต่ละวัน

ในปีที่อาจื่ออายุ 8 ขวบ รูปร่างหน้าตาของนางโตขึ้น แม้ว่าสีผิวของใบหน้านางจะเป็นสีดำเหลืองผิวสองสี ก็ไม่อาจปกปิดความงามลออของเบญจลักษณ์ได้ มองไม่ยากเลยว่าเมื่ออาจื่อโตไปต้องเป็นสาวงามผู้หนึ่งเป็นแน่

ชาวบ้านได้ยินมาว่าตระกูลใหญ่ร่ำรวยมีอำนาจชอบเลือกหญิงสาวที่หน้าตาดีไปเป็นสาวใช้ หากโชคดีหน่อย ถูกคุณชายตระกูลนั้นชอบเข้าก็เป็นโชคอันยิ่งใหญ่

ดังนั้นอาจื่อออกไปลองดูสักหน่อยดีกว่าอยู่ที่เมืองเล็กนี้ต่อแล้วต้องอดและท้องหิว หากถูกตระกูลไหนเลือกไปก็ดีกว่ารอวันอดตายอยู่ที่นี่เป็นไหนๆ

อายุเท่านี้ของอาจื่อก็มีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว นางและชาวบ้านต่างใจตรงกัน

ในเวลานั้นเองมีคนที่เรียกตนว่าเหรินหยาจื่อซึ่งมาเพื่อหาสาวใช้ให้ตระกูลใหญ่เพิ่งมาถึงเมืองเล็กนี้พอดี

เหรินหยาจื่อ หมายถึงคนกลางติดต่อรวบรวมคนมาจับคู่ให้ฝ่ายซื้อฝ่ายขายและได้รับค่านายหน้าจากผู้จ้าง

ส่วนใหญ่พวกเขาจะได้เซ็นสัญญาแรงงานระยะยาวและทาสให้ตระกูลที่ร่ำรวย

ในต้าเว่ยมีเหรินหยาจื่อจำนวนไม่น้อย พวกเขาเดินทางไปทั่วทุกที่ในต้าเว่ย โดยเฉพาะเมืองเล็กๆติดขอบชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนอาศัยด้วยความยากจน เพราะคนในสถานที่เหล่านี้จะมีความต้องการน้อยมาก น้อยจนขอแค่เหรินหยาจื่อสัญญาให้พวกเขากินข้าวหนึ่งมื้อแค่นั้น พวกเขาก็จะตามเหรินหยาจื่อไป

คนในเมืองเล็กๆติดขอบชายแดนอยากมีชีวิตรอดต่อไปไม่ง่ายเลยจริงๆ!

ในตอนนั้นโอกาสมากองอยู่ตรงหน้าของอาจื่อแล้ว บวกกับชาวบ้านต่างสนับสนุน อาจื่อจึงติดตามเหรินหยาจื่อไปจากเมืองเล็กแห่งนั้นด้วยความคาดหวัง

ในครั้งนี้ขอแค่อาจื่อได้เป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ นางก็จะไม่ต้องทนท้องหิวอดยาก ใช้ชีวิตที่ควรใช้ดั่งคนธรรมดา

จินตนาการแลยิ่งใหญ่ ความจริงกลับโหดร้าย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย