ไม่รู้?
ใบหน้าขององค์ชายหมิงเจ๋อพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งนัยน์ตาที่จับจ้องมองไปยัง อาจื่อด้วยความเฉียบคม
อาจื่อพลันตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัวในทันที พลางพยักหน้าลงก่อนจะกล่าวออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัวว่า " อา อาจื่อทราบแล้วเจ้าค่ะ นายท่านได้โปรดปล่อยข้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ"
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าองค์ชายหมิงเจ๋อต้องการให้นางทำอะไร ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าของเขาแล้วนั้น อาจื่อพลันรู้สึกว่าตนเองจักต้องคุกเข่าร้องขอความเมตตาถึงจะถูก!
เมื่อเห็นว่าอาจื่อรู้ความเช่นนี้ สีหน้าขององค์ชายหมิงเจ๋อจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความใจเย็นว่า "เช่นนั้นเจ้าลองทำให้ข้าดูเสีย"
พูดจบ องค์ชายหมิงเจ๋อจึงปาหนูใส่ตัวของอาจื่ออย่างโหดร้ายในทันที ภายในหัวของอาจื่อจึงจินตนาการขึ้นมาในทันทีว่าหนูตัวนี้คือหมิงเจ๋อ พลางแสดงละครร้องโวยวายออกมาว่า “ว๊าย” ก่อนจะพาตัวเองร้องเต้นกระโดดไปมารอบ ๆ พลางร้องตะโกนออกไปด้วยว่า "หนู มีหนู!"
อื้ม นับว่าสอนได้!
นี่คือสิ่งที่องค์ชายหมิงเจ๋อต้องการ ถึงแม้ว่าฉินซูโหรวจักเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพ ทว่า นางก็ยังคงเป็นสตรีที่ถูกเบี้ยงดูมาในห้องหอ เฉกเช่นเหล่าสตรีคุณหนูชนชั้นสูงทั่ว ๆ ไป นางย่อมมีท่าทีอ่อนโยนแต่ก็ยังคงความอ่อนแอหน้าทะนุถนอมเอาไว้
ฉะนั้นแล้ว นี่จึงเป็นหนึ่งในหลักสูตรบังคับของอาจื่อ
การที่องค์ชายหมิงเจ๋อฝึกฝนความกล้าหาญของอาจื่อนั้น ยามที่นางต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ก็ตาม นางจักได้มีท่าทีสงบนิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะหาทางรับมือได้ดี
นี่คือคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่สายลับควรจักมี
เมื่อความกล้าหาญและหลักการแสดงผ่านพ้นไปแล้วนั้น ที่เหลือก็จักมาถูกทางแล้ว
ฉินซูโหรวเป็นถึงสตรีผู้มากพรสวรรค์ในเมืองหลวงของต้าเว่ย ฉิน กลอน หมากล้อม ด้านอักษร ศาสตร์และศิลป์ในด้านดนตรีนางล้วนแต่แตกฉานทั้งหมด
ก่อนที่จะเรียนรู้เรื่องนี้นั้น องค์ชายหมิงเจ๋อจำต้องสอนให้อาจื่อเลียนแบบลายมือของฉินซูโหรวให้ได้เสียก่อน
เมื่อองค์ชายหมิงเจ๋อสั่งการมาเช่นนี้ อาจื่อจึงได้แต่เขียน "นาม" ของตนเองลงไปด้วยความลำบากใจ
พูดให้ถูกก็คือเป็นการวาดภาพขึ้นมาต่างหาก ทว่า จักวาดเป็นตัวอะไรนั้น องค์ชายหมิงเจ๋อหาได้เข้าใจมันไม่
องค์ชายผู้ไร้เดียงสาแห่งซินเจียงหาได้รู้ไม่ว่า ในใต้หล้านี้ยังมีผู้ที่ไม่สามารถเขียนนามของตนเองได้อีกด้วย
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าอาจื่อมิเคยร่ำเรียนตำรามาก่อน แต่เขาก็ยังขอให้อาจื่อเขียนนามของตนเองออกมา
คำสั่งของนายท่านนั้นหาได้นึกไม่ฟังได้ไม่ อาจื่อจึงได้วาดลวดลายออกมาสองแบบบนกระดาษ พร้อมทั้งหมิงเจ๋อที่หยิบพวกมันออกไปดูก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมออกมาในทันที
นางเขียนคำว่า "อาจื่อ" สองคำ แต่เหตุใดตัวอักษรของนางถึงได้แตกต่างจากแบบอักษรทั้งหมดที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน?
นางกำลังเขียนอะไรอยู่กัน?
มันใช่สองคำนี้จริง ๆ หรือ?
องค์ชายหมิงเจ๋อที่นึกภูมิใจในความรู้ความสามารถของตนเอง รวมไปถึงอำนาจที่มิมีสิ่งใดที่ตนเองไม่อาจคว้าเอาไว้ได้ หากแต่ตนเองกลับถูกสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าทำให้ไขว้เขว่เช่นนี้ หากใครรู้เข้าเขาจักมิกลายเป็นตัวตลกหรือ
องค์ชายหมิงเจ๋อรู้สึกเขินอายเกินกว่าที่จะกล้าถามอาจื่อออกไป กลับเป็นอาจื่อที่เห็นว่าคิ้วขององค์ชาย "นายท่าน ข้าเขียนถูกหรือไม่เจ้าคะ?"
หา?
ใบหน้าขององค์ชายหมิงเจ๋อพลันมีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ ๆ ผุดขึ้นมาในทันที!
เมื่อเห็นอาจื่อเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนี้ หมายความว่านางเองก็เขียนชื่อของตัวเองไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?
องค์ชายหมิงเจ๋อจึงหยิบพู่กันในมือของอาจื่อขึ้นมา ก่อนจะลงมือเขียนตัวอักษรลงไปในกระดาษสองคำ พลางหันไปเอ่ยถามกับอาจื่อว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองคำนี้คืออะไร?"
อาจื่อพลันส่ายหัวไปมาในทันที
องค์ชายหมิงเจ๋อพลันโยนพู่กันกลับเข้าไปในมือของอาจื่อด้วยความโมโห ก่อนที่จะอดเข้าไปบีบคอนางไม่ได้ พลางกัดฟันกล่าวออกมาว่า "นั่นคือนามของเจ้า! เจ้าจำนามของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ!"
“บอกข้ามา ที่จริงแล้วเจ้ามิรู้ใช่หรือไม่ว่านามของตนเองเขียนเช่นไร?”
เมื่อได้ยินองค์ชายหมิงเจ๋อเอ่ยออกมาเช่นนี้ อาจื่อพลางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ พร้อมทั้งบิดตัวของตนเองไปมากล่าวว่า : "นายท่าน ข้า... จนเติบใหญ่มาแล้วเช่นนี้แต่ข้ามิรู้จักอักษรเลยแม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ..."
เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ อาจื่อรู้สึกอับอายยิ่งนัก ทว่า แววตาคู่นั้นยังคอยลอบมองหมิงเจ๋ออยู่เป็นครั้งคราว ราวกับเด็กน้อยที่ทำผิดลงไป
องค์ชายหมิงเจ๋อโกรธโมโหมากเสียจน ตบใบหน้าอาจื่อไปในทันที ทำเอาจื่อมิกล้าหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะมององค์ชายหมิงเจ๋อด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ
แต่เล็กอาจื่อหาได้เคยกินข้าวอิ่มท้องไม่ นับประสาอะไรกับการเขียนอักษรกัน?
ถึงอย่างนั้น อาจื่อกล่าวว่าทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...
หลังจากที่ใช้เวลาร่วมกันไปมาหาสู่กันเป็นเวลานาน อาจื่อกลับค้นพบว่า ไม่ว่าองค์ชายหมิงเจ๋อจะโกรธหรือโมโหนางแค่ไหน เขาก็จักไม่มีวันฆ่าอาจื่อ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อาจื่อรู้ดีว่าตนเองมีประโยชน์ต่อองค์ชายหมิงเจ๋อมากเพียงใด ดังนั้น อาจื่อจึงมิจไเป็นต้องกังวลกับชะตาของชีวิตตนเองในตอนนี้
ถึงอย่างไร ก็ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าความตาย ดังนั้น อาจื่อจึงมิได้เก็บตัวเงียบอีกต่อไป พลางรวบรวมความกล้า ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ด้วยใบหน้าโศกเศร้าออกมาว่า "นายท่าน อย่าได้โกรธโมโหไปเลย"
อาจื่อยังเด็กนัก ร่างกายของนางยังอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต ขอแค่เพียงนางได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่พ้นหนึ่งอาทิตย์ร่างกายของนางย่อมเข้าสู่ในช่วงวัยผลัดกระดูกอย่างแน่นอน เช่นนี้การเปลี่ยนแปลงย่อมเห็นได้ชัดมากขึ้น
ในครานั้น อาจื่อมาอยู่ที่ภูเขาจงหนานเป็นเวลาหลายวัน อาหารการกินที่นั่นล้วนแต่เป็นของดี ยกเว้นวันแรกที่นางมาถึงเท่านั้นที่มิได้กินข้าว นอกนั้นทุกอย่างล้วนแต่ดีหมด
เป็นผลให้อาจื่อสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้งผิวสีเหลืองเข้มของนางตามเดิม กลับกลายมาเป็นสีขาวอมชมพู นั่นยิ่งทำให้ผิวพรรณของนางดูดีมากขึ้นไปอีก
แม้แต่กลิ่นอายบนร่างกายของนางก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจ มีทั้งความสง่างาม คำพูดคำจาและพฤติกรรมของนางก็ค่อยๆ มีกลิ่นอายสตรีผู้สูงศักดิ์มากขึ้นแล้ว
เสมือนกับดอกกุหลาบที่มีกลิ่นอายเย้ายวน
อาจื่อที่เป็นเช่นนี้ พลันใช้ดวงตาที่เปล่งประกายของนางจ้องมองไปที่องค์ชายหมิงเจ๋อ ทำเอาองค์ชายหมิงเจ๋อรู้สึกเวียนหัวหน้ามืดตาลายยิ่งนัก พร้อมทั้งความโกรธภายในใจที่อดไม่ได้ที่จะลดลงครึ่งหนึ่ง
เมื่อองค์ชายหมิงเจ๋อมองตรง ๆ ไปที่อาจื่อเป็นครั้งแรกนั้น
สาวน้อยคนนี้หน้าตาสวยงดงามเป็นอย่างมาก...
ในอดีตกาลกล่าวว่าวีรบุรุษย่อมต้องล่มจมเพราะสตรีงาม
นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายหมิงเจ๋อรู้สึกว่า สิ่งที่อาจื่อเอ่ยออกมาดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก เขากลับกล่าววาจาแปลก ๆ ออกมาว่า "จำไว้ หากเจ้ามิเข้าใจสิ่งใด ไม่รู้สิ่งใด เจ้าต้องบอกข้าก่อน ต่อไปก็ต้องบอกความจริงแก่ข้า!”
อาจื่อพยักหน้าลงอย่างเชื่อฟังในทันที ดวงตาของนางราวกับกำลังล่อลวงให้องค์ชายหมิงเจ๋อลุ่มหลง
ไม่ได้การละ เจ้าหนูนี่นี้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ถึงแม้ว่าองค์ชายหมิงเจ๋อจะยังมิได้สอนรู้วิธียั่วยวนบุรุษให้แก่นาง ทว่า นางกลับทำได้ด้วยตัวเองโดยมิจำเป็นต้องมีครูอาจารย์สอนเลยแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...